'ฟอร์ด' ยูเทิร์นครั้งใหญ่ 'ถอยจากรถอีวี' บันทึกด้อยค่า 6 แสนล้าน รถกระบะไฟฟ้า F-150

'ฟอร์ด' ยูเทิร์นครั้งใหญ่ 'ถอยจากรถอีวี'  บันทึกด้อยค่า 6 แสนล้าน รถกระบะไฟฟ้า F-150

Ford Motor เตรียมบันทึกด้อยค่าครั้งใหญ่ในธุรกิจรถกระบะไฟฟ้า F-150 ถอยจาก 'รถอีวี' หลังนโยบายทรัมป์เขย่าอุตสาหกรรมรถยนต์

บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ (Ford Motor) เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ ว่า บริษัทจะบันทึกค่าใช้จ่ายจากการด้อยค่า (writedown) มูลค่า 1.95 หมื่นล้านดอลลาร์ (กว่า 6 แสนล้านบาท) และ "ยกเลิกโครงการรถยนต์ไฟฟ้าหลายรุ่น" จากการปรับโครงสร้างธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ครั้งใหญ่ หลังประสบปัญหาขาดทุน และไม่สามารถทำกำไรจากธุรกิจดังกล่าวได้ต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี

การประกาศดังกล่าวนับเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดจนถึงขณะนี้ในการ "ถอยทัพ" ของอุตสาหกรรมยานยนต์ออกจากรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) เพื่อตอบรับการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่หันมาสนับสนุนรถยนต์สันดาปมากขึ้น ท่ามกลางความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดที่อ่อนแรงลง

ฟอร์ดซึ่งเป็นหนึ่งในสามค่ายรถยนต์ใหญ่ "บิ๊กทรี" ในสหรัฐ และมีสำนักงานใหญ่ในมิชิแกน ระบุว่า จะยุติการผลิตรถกระบะไฟฟ้าล้วน "F-150 Lightning" และแทนที่ด้วยรถยนต์ไฟฟ้าแบบ EREV ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปขนาดเล็กเพื่อเป็นตัวปั่นไฟชาร์จแบตเตอรี่แทน 

นอกจากจะล้มโครงการรถกระบะไฟฟ้าล้วน F-150 แล้ว บริษัทยังได้ยกเลิกโครงการรถกระบะไฟฟ้ารุ่นใหม่รหัส T3 รวมถึงแผนการผลิตรถตู้พลังงานไฟฟ้าอีกด้วย

“เมื่อสภาพตลาดเปลี่ยนไปอย่างมากในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา นั่นคือ แรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เราตัดสินใจ” จิม ฟาร์ลีย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของฟอร์ด กล่าวกับรอยเตอร์

ทั้งนี้ บริษัทจะหันไปเน้นการผลิตรถยนต์เครื่องสันดาป และรถไฮบริดอย่างจริงจัง และในระยะถัดไปจะจ้างพนักงานเพิ่มอีกหลายพันตำแหน่ง แม้ในช่วงใกล้นี้จะมีการเลิกจ้างบางส่วนที่โรงงานแบตเตอรี่ในรัฐเคนทักกี ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนก็ตาม โดยบริษัทคาดว่าสัดส่วนยอดขายรวมกันของของรถยนต์ไฮบริด รถยนต์ไฟฟ้า EREV และรถยนต์ไฟฟ้าล้วนจะเพิ่มเป็น 50% ของยอดขายทั่วโลกภายในปี 2030 จากระดับปัจจุบันที่ 17% 

สำหรับค่าใช้จ่ายจากการด้อยค่าดังกล่าวจะเป็นการทยอยรับรู้ ส่วนใหญ่อยู่ในไตรมาส 4 ของปีนี้ และต่อเนื่องไปจนถึงปี 2027 โดยประมาณ 8.5 พันล้านดอลลาร์ มาจากการยกเลิกรถยนต์ไฟฟ้าที่วางแผนไว้ร่วงหน้า อีกประมาณ 6 พันล้านดอลลาร์เกี่ยวข้องกับการยุติบริษัทร่วมทุนด้านแบตเตอรี่กับ "SK On" จากเกาหลีใต้ และอีก 5 พันล้านดอลลาร์ เป็นค่าใช้จ่ายที่ฟอร์ดเรียกว่าค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับโครงการ

ขณะเดียวกัน ฟอร์ดยังปรับเพิ่มประมาณการผลประกอบการปี 2025 ในส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ย และภาษี (EBIT) แบบปรับปรุงแล้ว เป็นราว 7 พันล้านดอลลาร์ จากกรอบเดิมที่ 6-6.5 พันล้านดอลลาร์ และข่าวครั้งนี้ทำให้ราคาหุ้นของฟอร์ดปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 1% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการ

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์