โรงเรียน "พ่อแม่"

โรงเรียน "พ่อแม่"

เคยตั้งคำถามกันไหมว่า แม้โลกจะมีความรู้มากขนาดไหน แต่ก็นำมาปรับใช้กับชีวิตจริงไม่ได้ คงเพราะ เราไม่เคยสำรวจลึกเข้าไปในหัวใจ “ตน” และ “ลูก"

หลังจากได้ยินเรื่องราวดีๆที่แบ่งปันโดยคอลัมนิสต์ของกายใจ “นายเรียนรู้” หรือ คุณครูพี่เลิศของเด็กๆ ว่าตอนนี้มีการรวมตัวของคุณแม่เพื่อ “รับรู้” “แลกเปลี่ยน” และ “ปรับปรุง” ผ่านการอบรม “Play and Learn เพลินกับลูก” และ "ฝึกวิทยายุทธ์...สกัดจุดลูกจอมเฮี้ยว" โดยครูพบ-เกียรติยง ประวีณวรกุล นักจิตวิทยาคลีนิค รพ.ธนบุรี 2

เราจึงต้องรีบไปพูดคุยเรื่องดีๆ และนำมา “แบ่งปัน” ให้กับคุณพ่อคุณแม่ทุกคนได้รู้

คอร์สนี้จะช่วยไขข้อสงสัยว่า พ่อแม่จะเข้าใจเด็กอย่างถ่องแท้ทั้งพัฒนาการ ธรรมชาติตามวัยได้อย่างไร รวมทั้งวิธีในการนำพา และส่งเสริมความสามารถ ตลอดจนการรับมือกับปัญหาพฤติกรรมอารมณ์ ด้วยแนวคิดเชิงบวก

พ่อแม่หลายคนอยากรู้ว่าจะทำอย่างไรจึงจะอยู่กับลูกสนุก หัวเราะ และมีความสุขทั้งครอบครัว ทำอย่างไรจึงจะสอนให้ลูกมีวินัยแบบปฏิบัติได้จริง อยากฟังลูกให้ได้ยินว่าเขาต้องการอะไร อยากให้ลูกพูดให้เราฟังทุกเรื่อง อยากให้พี่น้องรักกัน อยากอยู่กับลูกหลายคนให้สนุก รวมถึงอยากสร้างเวลาคุณภาพกับลูกที่ เสริมพัฒนาการ ทำได้จริง และได้ผลทันที

คำตอบนั้นไม่ได้มีเพียงข้อเดียวหรือสูตรสำเร็จ หากต้องกลับมาทบทวนตัวเองและมุ่งพัฒนาตัวคุณพ่อคุณแม่เสียก่อน

ข้อผิดพลาดในอดีต

คุณแม่เจนนี่-จันทราพร ตั้งธนทรัพย์ เล่าว่า เมื่อก่อนเป็นแม่โดยไม่รู้อะไรเลย จึงบังคับให้ลูกชอบในสิ่งที่ตนเห็นสมควร แม้จะศึกษาเรื่องเด็กมาเยอะ แต่พอเจอสถานการณ์จริงกลับ “ไปไม่เป็น” เพราะไม่มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ โดยเฉพาะไม่เข้าใจตัวเอง

“หนังสืออาจไม่ตอบโจทย์ คนเป็นพ่อแม่ต้องเป็นแกนหลัก เพราะแต่ละครอบครัวมีความแตกต่างกัน เราจึงต้องหาแกนความคิดหลักที่จะเป็นหลักยึดที่จะเข้าใจลูกของเราเอง นั่นคือต้องกลับมาแก้ที่ตัวเอง”

หลักคิดที่ว่าก็คือมองที่ความจริง ไม่ได้มองลูกเป็นวัตถุอีกต่อไป แล้วกลับมาที่พื้นฐานว่าพ่อแม่ต้องเข้าใจตัวเอง สำรวจความรู้สึกตัวเอง ต้องดึงตัวเองกลับมาให้นิ่ง

และเข้าใจพัฒนาการของลูก ซึ่งจะต้องจำได้และเข้าใจง่ายๆ ว่าทางร่างกายนั้นเขายังมีส่วนไม่พร้อมอยู่มาก เช่น การวางของเสียงดัง เป็นเพราะเขายังควบคุมกล้ามเนื้อมือได้ไม่ดีนัก หรือทางจิตใจ เด็กๆยังไม่รู้จักความเป็นเหตุเป็นผลมากเท่าผู้ใหญ่ พวกเขาจะใช้สัญชาตญาณอารมณ์และความรู้สึกมากกว่า เป็นต้น

จากนั้นก็จะใช้วิธีการสื่อสาร (คำพูด) และการกระทำเชิงบวกเป็นสำคัญ

วิธีการแยบยล

คุณแม่จิ-จิรามาศ เจียรพร ยกตัวอย่างวิธีการชื่นชมลูกให้ฟังว่า ต้องเฉพาะเจาะจงลงไปในสิ่งที่ลูกทำ บอกสิ่งที่เราชื่นชมว่าคืออะไร พร้อมใส่ความรู้สึกปิติยินดีของเราไปด้วย เช่น ปกติเวลาลูกทำดีก็จะบอกแค่ว่า “เก่งจังลูก” จึงควรปรับเป็น “ลูกเป็นคนเก่งนะที่ลูกช่วยคุณแม่ยกกระเป๋า คุณแม่ชอบสิ่งที่ลูกทำมากค่ะ”

ทั้งนี้ คุณพ่อคุณแม่ควรเข้าใจหลักการชื่นชมและทำโทษให้ถูกต้องตรงกันด้วยว่า ต้องแยกกันอย่างชัดเจน ไม่ใช่ว่า ถ้าทำผิดจะไปตัดแต้มคะแนนที่เคยทำดี เช่น ถ้าลูกช่วยยกกระเป๋า เราชมและให้รางวัล แต่พอลูกแกล้งน้อง เราบอกว่าจะยึดของที่ให้ไปคืน ถ้าเป็นอย่างนั้นเสียแล้วเด็กๆก็จะไม่อยากทำดีอีกต่อไป และก็จะไม่กล้าทำอะไรอีกเพราะกลัวผิด

ในกรณีที่พ่อแม่มีลูกหลายคน มักเกิดปัญหา “แย่งความรัก” โดยเฉพาะพี่ไม่เข้าใจน้อง ครูพบแนะเคล็ดลับว่า แม้ความรู้สึกในตัวลูกจะมากน้อยเพียงไรก็ให้เขาได้ระบายมันออกมา จากนั้นก็จะเข้ากระบวนการ “ลืมโกรธ” ด้วยคำถามต่อเนื่อง

“อย่างเหตุการณ์พี่โมโหน้องอยากเอาน้องไปทิ้ง เราก็ต้องถามไปเรื่อยๆ เช่น แล้วจะเอาไปทิ้งที่ไหน พอลูกตอบ ถังขยะ ก็ถามต่อและรอให้เขาตอบว่า ถังแบบไหน ถังใหญ่ไหม ทิ้งตรงไหน พอเขาตอบเราเรื่อยๆ เราก็ตั้งคำถามไปเรื่อยๆ จนเขาลืมความโกรธได้ โดยที่เราไม่ต้องดุหรือห้ามปรามเลย นั่นเพราะเราสอนให้เขาจัดการกับอารมณ์ของเขาเอง” คุณแม่เจนนี่ ยกตัวอย่างเสริม

ผลลัพธ์อันน่าทึ่ง

คุณแม่นก-ปวีณา เคเดน เผยว่า ปัญหาของพ่อแม่คือขาดความเข้าใจที่แท้จริง โดยมักไปโฟกัสที่ “วิชาการ” มากกว่า “วิชาชีวิต” จึงต้องมีผู้เชี่ยวชาญมาช่วยไกด์ พร้อมกับพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับพ่อแม่คนอื่นๆ ขณะเดียวกันก็ต้องรู้จักสร้างสมดุลตัวเองอยู่เสมอ

“เรารู้จักตัวเองจากคุณพ่อคุณแม่หลายๆท่าน ซึ่งเป็นครูชีวิตของเราได้ เรื่องราวต่างๆนั้นทำให้เรากลับมาเห็นมุมมองของตัวเราด้วย การได้แชร์มุมมอง ทำให้โจทย์เดียวตีความไปได้อีกมาก เราได้เจอทางเลือกที่เกิดขึ้นจริง ประสบการณ์จริงของคนอื่นๆ พร้อมกับได้ทักษะการฝึกสติของเราไปด้วยในตัว”

วิธีการดังกล่าวมีลักษณะ “ป้องกัน” โดยให้พ่อแม่มีทัศนคติที่ถูกต้อง คิดชอบ ดำริชอบ นั่นคือ เห็นความจริง เห็นตามธรรมชาติทั้งของลูกและตัวตนของพ่อแม่ แล้วตั้งความหวังในตัวลูกให้ถูกว่า สุดท้ายแล้ว ลูกต้องมีความสุข รู้จักข้อผิดพลาด ล้มแล้วลุก และอยู่รอดได้ด้วยตัวของเขาเอง

เมื่อพ่อแม่เปลี่ยน ลูกก็เปลี่ยน คนรอบๆตัวก็เปลี่ยน ความสุขแท้จริงก็เกิดขึ้น ที่บ้านเกิดความสงบ สันติ รักกันอย่างสร้างสรรค์