ชูใจ ครีเอทีฟ เอเจนซี่ รอยยิ้ม เปลี่ยนแปลง แรงบันดาลใจ

ชูใจ ครีเอทีฟ เอเจนซี่ 
รอยยิ้ม เปลี่ยนแปลง แรงบันดาลใจ

ชูใจ กะ กัลยาณมิตร บริษัทสร้างสรรค์สื่อโฆษณา "ดีดี" ทั้งดีในผลลัพธ์และดีงามนำคุณธรรม พวกเขาไม่ลืมที่จะสร้างรอยยิ้ม

ชูใจ กะ กัลยาณมิตร บริษัทสร้างสรรค์สื่อโฆษณา "ดีดี" ทั้งดีในผลลัพธ์และดีงามนำคุณธรรม พวกเขาไม่ลืมที่จะสร้างรอยยิ้ม ความหวังที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงคืนกลับสู่สังคม และพร้อมเป็นแรงบันดาลใจให้คลื่นลูกใหม่กล้าคิด กล้าทำ

บริษัทครีเอทีฟ เอเจนซี่ แห่งหนึ่งเน้นสร้างสรรค์ผลงานดี ดี แบ่งเป็น ดีแรก ต้องแปลกใหม่ ไม่ซ้ำใคร น่าสนใจและได้ผล ส่วนดีที่สอง ต้องเป็นงานที่ดีงามและมีคุณธรรม มีประโยชน์มากกว่าแค่ตัวเราเอง นั่นคือ หลัก "ทำ" ประจำใจของ ชูใจ กะ กัลยาณมิตร โดยพวกเขาหวังว่ากลุ่มคนเล็กๆกลุ่มหนึ่งนี้จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงคืนกลับสู่สังคมบ้างแค่เพียงเล็กน้อยก็ยังดี และขอเป็นแรงบันดาลใจให้คลื่นลูกใหม่ทุกคนที่คิดเช่นเดียวกันจะได้กล้าคิด กล้าทำ เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้นตอบแทนสังคม

ทีมก่อตั้งประกอบไปด้วย 5 คนหลักๆ ด้วยกัน นั่นคือ กิตติ ไชยพร (ป๋อม),ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ (เม้ง), บุญชัย สุขสุริยะโยธิน (ยอด), ไพรัช เอื้อผดุงเลิศ (เป้า), คมสัน วัฒนวาณิชกร (กิ๊บ) ซึ่งปัจจุบันมีทีมงานเพิ่มเข้ามาอีก 3 คน รวมเป็น 8 คน ทั้งหมดคิดตรงกันว่า หากมีเงินสองบาท บาทหนึ่งซื้อข้าว...อีกบาทไว้ซื้อดอกไม้ นั่นคือ นอกจากทำงานเพื่อเลี้ยงตนแล้ว ต้องไม่ลืมที่จะสร้างรอยยิ้มและการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้เกิดขึ้น เพื่อจะได้มีความสุขในการทำงานทุกครั้งอย่างสม่ำเสมอ นี่ก็คือสไตล์การทำงานของพวกเขา

กายใจ : ทั้ง 5 คน มารวมตัวเป็นชูใจ กะ กัลยาณมิตร ได้อย่างไร

พวกเราทั้ง 5 คนเจอกันในที่ทำงานแห่งสุดท้าย พวกเรามีความเห็นในการทำงานคล้ายกัน คือ ไม่อยากทำในอุตสาหกรรมการโฆษณาที่มันธุรกิจมากๆแล้ว อยากออกมาทำประโยชน์ให้กับสังคมมากกว่าที่เคยทำอยู่ ประกอบกับป๋อมที่เป็นหัวหน้าในออฟฟิศตอนนั้นเกิดการอิ่มตัว ซึ่งก่อนออกมาได้ทำโครงการ Mom made Toys ด้วย ทำให้อยากออกมาทำงานที่เป็นประโยชน์จริงๆ


กายใจ : ก้าวเข้าสู่ปีที่ 2 แล้ว ยังคงมีวัตถุประสงค์เดิมหรือไม่

เราคิดว่า เราได้ทำเพื่อสังคม นั่นคือเราอยู่ได้ ปีที่ 2 ยิ่งตอกย้ำหลักการว่า เรายังคงทำเพื่อสังคม เราก็ยังคงอยู่ได้ ก็ถือว่าบรรลุวัตถุประสงค์มาได้ในระดับหนึ่ง จากเดิมที่ตอนแรกก็คาดเดาไม่ได้ว่าเราจะไปได้ถึงขนาดไหน ก็ยังคงกังวลในแง่ว่าเราจะอยู่ไปได้สักแค่ไหน จะมีงานเข้ามาหรือไม่ ซึ่งในปีที่ 2 ของเรา สังคมก็ให้การตอบรับมากยิ่งขึ้นกว่าปีแรกอย่างมาก ในด้านปริมาณงานที่เข้ามาก็เยอะ ซึ่งเมื่อผลลัพธ์เป็นเช่นนี้ก็เป็นการตอกย้ำเราว่าการทำเพื่อสังคมแบบนี้ เราก็อยู่ได้นะ


กายใจ : จุดมุ่งหมายของชูใจฯ แท้จริงคืออะไร

จุดมุ่งหมายของเราจริงๆก็คือสมดุลของชีวิตครับ งานที่เราเมื่อก่อนเราทำเพื่อเลี้ยงชีพของเรา คือเพื่อเงิน มันอะไรก็ได้ แต่เมื่อมาเป็นชูใจฯ มันเป็นการทำงานที่ทำให้ชีวิตเราสมดุลขึ้น คือ เราไม่ต้องรอให้รวยก่อนแล้วค่อยมาทำงานเพื่อสังคม เราสามารถตอบตัวเราเองได้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่

เรามีเงินเลี้ยงครอบครัวได้ประมาณหนึ่ง ทำเพื่อสังคมก็ทำได้เลยไม่ต้องรอรวย ด้านเวลาถามว่า ยุ่งไหม ก็ยังคงยุ่ง แต่มันก็สามารถควบคุมและบริหารเวลาให้เป็นไปในทิศทางที่เราต้องการได้ ซึ่งนั่นคือความสมดุลของชีวิตครบในทุกๆด้านที่เราต้องการ ทั้งหมดที่พูดมาเป็นสิ่งที่สามารถยืนยันได้ว่าเราเดินมาถูกทางแล้วครับ

ออฟฟิศพวกเราไม่ใช่ว่าจะทำเพื่อสังคมเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ก็ยังคงรับงานโฆษณาอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย เราไม่ได้ทำเพื่อสังคมร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม เพียงแต่เราเลือกที่จะรับงานมากขึ้น โดยจะปรึกษากันเองภายในกลุ่ม ด้วยความที่เราเป็นนายตนเอง เราจึงสามารถที่จะทำอย่างที่ใจเราต้องการได้

ตอนคุยกันนั้นเราก็จะปรึกษากันว่างานนี้เข้ามา เป็นแบบนี้ เราโอเคไหม มันตอบโจทย์เราหรือเปล่า คือเราสามารถเลือกที่จะไม่ทำก็ได้ แต่ถ้าเป็นงานที่เป็นการทำงานเพื่อสังคม แทบจะไม่มีงานไหนที่ไม่รับครับ มีอันไหนช่วยได้ เราช่วยทำเต็มที่ เป็นการรับและให้คืนกลับไป มันเป็นการทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่เพื่อการขายของเพียงอย่างเดียว ซึ่งนั่นทำให้เรามีความสุขกับการทำงานครับ


กายใจ : นิยามตนเองว่าอย่างไร

เราไม่กล้าพูดเต็มปากว่าเราคือ เราคือ Specialist ทางด้านสังคม เราแค่มีประสบการณ์การทำงานด้านนี้มาประมาณหนึ่ง เราแค่อยากใช้มันให้เกิดประโยชน์ก็เท่านั้นเอง เราเป็นคนกลุ่มเล็กๆธรรมดาๆยังสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเลย หากมีกลุ่มคนที่มีกำลังเพียงพอ เชื่อมั่นว่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมให้เกิดขึ้นมาอีกมากมายนัก คนเก่งยังมีอีกเยอะ เราเป็นแค่คนธรรมดาที่เพียงแต่อยากคืนกลับให้สังคมบ้างก็เท่านั้นเองครับ

ในสังคมไทยคนดีมักไม่ค่อยมีแรง ไม่ค่อยมีกำลังทรัพย์ แต่มีความคิดดี แต่กลับนำเสนออย่างไม่น่าสนใจ พวกเราเลยอยากนำประสบการณ์ที่เรามีนั้น มารองรับคนที่คิดดีแต่ไม่มีแรง ให้เขานำเสนอออกมาได้น่าสนใจ และทำให้เรื่องดีดี มันต่อยอดไปได้เร็ว สนุก สิ่งดีๆที่เขาคิดจะได้เกิดขึ้นโดยเร็ว

กายใจ : งานที่กำลังทำอยู่มีอะไรบ้าง

สวดมนต์ข้ามปีช่วงปลายปีนี้ (2556) ที่สนามหลวงครับ จะมีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ถือเป็นมิติใหม่ คือ จะสามารถสวดมนต์ออนไลน์ได้เหมาะกับไลฟสไตล์ของคนชอบโซเชียล การสวดมนต์ปีนี้ เราพยายามที่จะนำความหมายของการสวดมนต์เข้ามามากขึ้น ใช่เพียงแต่สวดเพื่อความเป็นสิริมงคลเพียงอย่างเดียว

เราจะทำให้พุทธศาสนิกชนเข้าใจการสวดมนต์มากยิ่งขึ้น ความหมายของเนื้อหาบทสวดมนต์ เราสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ มันสร้างประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของคุณ เราจะไม่ชวนคนให้สวดมนต์เฉพาะคืนนั้นแต่เราจะชวนเขาสวดมนต์ไปตลอดทั้งปี

ปีนี้จะมีการสร้างพระพุทธรูปออนไลน์เกิดขึ้น โดยเขียนความตั้งมั่นในกระดาษ กระดาษที่เราเขียนความตั้งมั่นนั้นก็จะนำไปแปะสร้างองค์พระพุทธรูป ซึ่งพระพุทธรูปองค์นี้จะนำไปตั้งในงานสวดมนต์ข้ามปี เป็นพระพุทธรูปที่ทุกคนลงมือเขียนว่าในปีหน้านี้ทุกคนจะทำอะไร สิ่งที่ทุกคนตั้งมั่นจะไปอยู่ในพระ หากคุณรักและเคารพพระองค์นี้ แน่นอนว่าคุณย่อมทำตามความตั้งมั่นนั้นให้สำเร็จ

พระพุทธรูปองค์นี้ชื่อว่าพระทำ คือจะได้ลงมือทำตลอดปีหน้าครับ และจะมีแอพพลิเคชั่นออกมาที่ช่วยเตือนให้เราสวดมนต์ทุกวัน อีกทั้งทำมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ไม่เหมือนกันของแต่ละคนให้เขาสามารถปรับใช้ตามใจต้องการอีกด้วย ตรงนี้ก็สามารถเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้ง่ายและสามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้จริงครับ

อีกหนึ่งชิ้นก็คือ แอพพลิเคชั่น instadham ที่เราสามารถนำภาพที่เรามีนำมาประกอบธรรมะได้ง่ายๆแล้วแชร์ต่อผ่านทางเฟซบุ๊ค อินสตราแกรม ทวิตเตอร์ ซึ่งธรรมะสอนใจที่มีในแอพพลิเคชั่นก็จะมาจาก สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ, ท่านชยสาโร, ท่านป.อ.ปยุตโต, ท่านปัญญานันทภิกขุ, พระไพศาล วิสาโล, ท่านพุทธทาสภิกขุ และหลวงพ่อชา สุภัทโท ครับ

และ โครงการ Mom made Toys นำของเล่นเพื่อเด็กพิเศษที่ทำเสร็จแล้วส่งให้ตามโรงเรียนและตามสถานที่ต่างๆโดยเราจะใช้อาสาสมัครที่กลับบ้านมาช่วยกันรับของเล่น และไปส่งให้เด็กๆในจังหวัดที่เรากำลังจะไปอยู่แล้วได้ครับ โดยเข้าไปในเฟซบุ๊ค Mom made Toys เราจะมีพื้นที่ให้ เพียงโพสต์ใต้ภาพ แล้วจะมีทีมงานติดต่อกลับไป

กายใจ : ความสุขที่ได้รับเป็นอย่างไร

การทำเพื่อสังคมทุกๆงาน มีความสุขลึกๆนะครับ แม้มันจะมีงานมาเยอะ เราเหนื่อย แต่เรามีความสุขที่ได้ทำ ทุกครั้งที่เราเหนื่อย เราจะตอบคำถามตัวเองได้ว่า อีก 3 เดือน มันจะเกิดอะไรขึ้น มันต่างจากที่เราเคยทำที่ออฟฟิศเดิมๆตรงที่วันที่เราทำงานเหนื่อย อดหลับอดนอน เมื่อเราถามตนเองเราไม่สามารถตอบได้ว่าเราทำไปเพื่ออะไร แต่วันนี้ที่เป็นชูใจฯ ณ จุดนี้ เราสามารถตอบตัวเองได้ นี่แหละคือความสุขจากการทำงาน

ทุกคนในชูใจฯ เมื่อรับงานแล้วมักทำเต็มที่ ทำเกินด้วยซ้ำ คือเราควบคุมเองในหลายๆส่วน เพราะเราอยากให้งานออกมาดี มันจึงทำให้เราเหนื่อยมากครับ เราทำสุดซอย สนุกทุกงานทั้งงานที่ได้เงินและไม่ได้เงิน แม้จะขาดทุน เราก็ทำเพราะอยากให้งานออกมาดีอย่างที่ตั้งใจไว้ แค่เพียงเชื่อใจเราเท่านั้น ยิ่งร่วมด้วยช่วยกันทั้งลูกค้าและชูใจ งานที่ออกมามัน (สนุก) ได้ทะลุซอยไปเลยครับ

กายใจ : ค่าตอบแทนที่ได้รับเป็นอย่างไร

ค่าตอบแทนของเรา คือเราอยากเห็นงานที่ดี มีประโยชน์ คือถ้าเรามองเห็นปลายทางที่ดี เราก็ยังคงทำไปด้วยกันเถอะครับ พวกเราจะยิ่งมีความตั้งใจ

ความสุขของเราคือปลายทางครับ ยกตัวอย่าง Mom made Toys เป็นงานที่เป็นตัวอย่างของความเหนื่อยยาก ระหว่างทาง มีท้อ มีปล่อย แต่เมื่อเดินทางมาถึงวันที่เปิดตัววันแม่ ความรู้สึกมันบรรยายไม่ถูกเลย มันดีมากๆ ยืนมองแล้วน้ำตาไหล

เวทีที่เราทำเอง ยกกล่องเอง คนมางานเยอะแยะ สื่อมวลชนที่เราโทรไปขอให้เขามางานเราหน่อยเถอะครับ ก็มาตามที่เราเชิญ บางคนที่ไม่คาดคิดว่าจะมาก็มา มันฟินจริงๆครับ มองแล้วก็น้ำตาไหล เมื่อถึงจุดนั้น มันบอกกับเราได้ว่า นี่แหละคือความสุขอย่างแท้จริงที่เราได้รับ มันทำให้เราประทับใจ ชื่นใจจริงๆ

ในงานนั้นมีแม่นกพูดบนเวที ครูคนหนึ่งมาร่วมในงาน ฟังแล้วทำให้ครูคนนั้นเกิดคำถามในใจว่ากำลังทำอะไรอยู่ หลังจากนั้นแกก็ลาออกแล้วมาเป็นครูในโรงเรียนเด็กที่มีความต้องการพิเศษแทน เราได้ยินเรื่องเล่าแบบนี้แล้ว สิ่งที่เราไม่ได้คาดคิดเกิดขึ้น มันเกิดความเปลี่ยนแปลง เราแค่ติดกระดุมเม็ดแรกให้ถูกเท่านั้น หลังจากนั้นก็ทำไป ผลพลอยได้ระหว่างทาง มันได้มาอีกเยอะมาก

บางทีที่เราเห็นคนมาบอกเล่าในเฟซบุ๊คชูใจฯ ว่า เห็นงานเราแล้วเกิดแรงบันดาลใจ ทำให้เปลี่ยนความคิดเขา และทำให้เขาเริ่มทำเรื่องดีๆเกิดขึ้น มันเกิดความเปลี่ยนแปลงทำให้ชีวิตคนๆหนึ่งมีความหมาย นั่นแหละคือสิ่งที่มีความหมายกับเราที่สุด

กายใจ : คนตัวเล็กอยากทำแบบชูใจฯ บ้างต้องทำอย่างไร

ให้มองปัญหาและแก้ไขโดยใช้ศักยภาพที่มีอยู่ ยกตัวอย่างโปรเจค ไอเดียศูนย์บาท คือเมื่อคุณเดินกลับบ้านคุณเจอปัญหาอะไรบ้าง ลองลิสต์มา ก็ได้มาประมาณ 5-6 ข้อ ลองดูว่าปัญหาที่เราเห็น หากเราใช้ไอเดียศูนย์บาทแก้ปัญหาทำได้อย่างไร จากสมองที่เรามี อาชีพที่เราทำมา ประสบการณ์และความถนัดที่เรามี สุดท้ายเขาก็ทำมันได้ นั่นบอกเขาว่าเขามีศักยภาพที่จะทำได้

บางคนที่นั่งรถเมล์กลับบ้าน รถเมล์มันมาช้า คาดเดาไม่ได้ มาไม่ตรงเวลา ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ได้ว่าตอนนี้รถเมล์สายนี้ถึงตรงไหนแล้ว จะได้บริหารเวลาถูกว่าจะไปกินข้าวก่อนดีหรือเปล่า โดยที่ระหว่างไปกินข้าวเราจะได้ไม่พลาดรถ คำถามมันตรงๆเลยคือ เราทำอะไรได้บ้าง น้องเขาลองคิดออกมา โดยการตั้งเฟซบุ๊ค สมมุตินะครับว่า ชื่อ ปอ.สาย40 ขึ้น คนที่รอสายนี้อยู่ก็จะเข้ามา แล้วก็เอาใบปลิวไปติดตรงป้ายรถเมล์ให้คนที่รอสายนี้อยู่เข้าไปร่วมในเฟซบุ๊คนี้ได้ คนที่ขึ้นตรงจุฬาก็โพสต์ว่าขึ้นมาเวลาเท่านี้ คนที่เข้ามาทีหลังรออยู่ก็สามารถรู้ได้แล้วว่า อีกแป๊บก็น่าจะมาถึงอนุสาวรีย์ฯ อย่างนี้เป็นต้น

ทุกอย่างมันสามารถช่วยเหลือสังคมได้ เพราะปัจจุบันนี้มีเครื่องไม้เครื่องมือเยอะ มันสามารถช่วยเหลือสังคมได้ง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากมายนัก ทุกคนสามารถหยิบยื่นให้แก่กันและกันได้ง่ายมากจริงๆครับ