จาก’ ซีอีโอ’ สู่ ‘ รัฐมนตรี’ บทเรียนโลกสำหรับนักเทคโนโลยีที่ก้าวสู่การเมือง

เลือกตั้งรอบนี้มีนักธุรกิจ นักวิชาการในวงการไอทีและนวัตกรรมหลายคนประกาศตัวลงเล่นการเมืองตามพรรคต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้เห็นคนที่เข้าใจจริงในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และ AI เข้าใจการขับเคลื่อนนวัตกรรม เข้ามามีส่วนร่วมในการผลักดันนโยบายต่างๆ ของประเทศ
KEY
POINTS
- ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและซีอีโอเข้าสู่การเมือง ซึ่งเป็นผลดีต่อการขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัล แต่ต้องเผชิญความท้าทายจากความซับซ้อนและวัฒนธรรมของระบบราชการที่แตกต่างจากภาคเอกชน
- ยกตัวอย่างรัฐมนตรีที่ประสบความสำเร็จ เช่น ออเดรย์ ถัง (ไต้หวัน) และ อัชวินี ไวษณพ (อินเดีย) ที่ใช้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีปฏิรูประบบราชการและขับเคลื่อนโครงการดิจิทัลขนาดใหญ่ของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- นำเสนอบทเรียนจากความล้มเหลว เช่น กรณีคอร์รัปชันของ นาดีม มาการิม (อินโดนีเซีย) ที่นำแนวคิดสตาร์ทอัพมาใช้กับระบบจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ และความล้มเหลวทางการเมืองของ อิซฮาร์ เชย์ (อิสราเอล) ที่ไม่สามารถผลักดันวิสัยทัศน์ให้เป็นนโยบายจริงได้
- สรุปว่าความสำเร็จของนักเทคโนโลยีในเวทีการเมืองไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีความเข้าใจในระบบราชการ การเมือง และความสามารถในการเชื่อมโยงนโยบายภาครัฐเข้ากับเทคโนโลยี
เลือกตั้งรอบนี้มีนักธุรกิจ นักวิชาการในวงการไอทีและนวัตกรรม หลายคนประกาศตัวลงเล่นการเมืองตามพรรคต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้เห็นคนที่เข้าใจจริงในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และ AI เข้าใจการขับเคลื่อนนวัตกรรม เข้ามามีส่วนร่วมในการผลักดันนโยบายต่างๆ ของประเทศ โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยี AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกไปอย่างมาก การที่ได้คนที่รู้ เข้าใจ และลงมือปฏิบัติมาจริงย่อมมีผลดีกับประเทศของเราแต่การเข้าสู่วงการการเมืองของคนนอกที่อาจไม่คุ้นกับวัฒนธรรมการเมือง หรือระบบราชการไทย ก็อาจไม่ใช่เรื่องง่ายนัก การบริหารราชการไม่เหมือนการบริหารบริษัท
แม้แต่บริษัทขนาดใหญ่ก็ยังมีโครงสร้างที่เล็กกว่าระบบราชการในแต่ละกระทรวง ความซับซ้อนของการทำงานและโครงสร้าง รวมถึงกฎระเบียบต่างๆ ทำให้ทำงานยากกว่าการทำงานในภาคเอกชนอย่างมาก ยิ่งไม่เคยสัมผัสการทำงานในระบบราชการ ไม่เข้าใจวัฒนธรรมการทำงานของราชการ ในแต่ละกระทรวง กรม หรือหน่วยงานราชการที่มีรูปแบบหลากหลายก็ยิ่งยากต่อการบริหารและผลักดันนโยบายต่างๆ
หลายคนอยากเห็นว่ากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นกระทรวงในการขับเคลื่อน อยากเห็นรัฐมนตรีทำหน้าที่เหมือน CTO (Chief Technology Officer) ของรัฐบาล แต่ก็คงไม่ง่ายนัก เพราะการทำงานของกระทรวงต่างๆ เป็นแบบต่างคนต่างทำ รัฐมนตรีหรือข้าราชการมีหน้าที่รับผิดชอบในงานของหน่วยงาน ค่อนข้างจะขาดการบูรณาการที่ทำงานร่วมกันหรือสั่งงานข้ามกระทรวง ทั้งนี้เพราะอาจติดขัดด้วยกฎระเบียบต่างๆ ที่หลายๆ เรื่องอาจต้องเข้าไปแก้กฎหมายในสภาฯ ที่คงใช้เวลานาน
แต่การเอาคนที่มีความเชี่ยวชาญและมีความรู้ความเข้าใจที่ตรงกับงานของแต่ละกระทรวงมาดูแลเป็นสิ่งที่ดีมาก ที่ผ่านมาโลกได้เห็นรัฐมนตรีดิจิทัลที่มีภูมิหลังจากแวดวงเทคโนโลยีอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นวิศวกร นักพัฒนาซอฟต์แวร์ ผู้บริหารซีอีโอ หรือฟินเทคแบงเกอร์ระดับโลก ที่ถูกดึงเข้าสู่การเมืองเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและการปฏิรูประบบราชการด้วยเครื่องมือดิจิทัล แนวโน้มนี้สะท้อนการเปลี่ยนผ่านจากการแต่งตั้งแบบ “นักการเมืองสายโควต้า” ไปสู่ “เทคโนแครตที่มีผลงานจริง” ในสายไอทีและดิจิทัลก่อนเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี
ตัวอย่างที่เด่นชัดสุดคือ “Audrey Tang” โปรแกรมเมอร์อิสระที่ได้รับการแต่งตั้งรัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลของไต้หวันช่วงปี 2016-2024 ด้วยวัยเพียง 35 ปี โดยที่เธอไม่เคยรับตำแหน่งใดในทางการเมืองมาก่อน เธอได้นำเทคโนโลยีเข้ามาปฏิรูประบบราชการให้เกิดความ
โปร่งใส โดยเปิดเผยรายงานการประชุมต่อสาธารณะทั้งหมดและสร้างระบบตอบโต้คำถามประชาชนแบบเรียลไทม์ นอกจากนี้เธอยังมีบทบาทสำคัญในการออกแบบแพลตฟอร์มมีส่วนร่วมการรับมือโควิด และการต่อสู้กับข่าวสารที่บิดเบือน (Disinformation) จนเธอกลายเป็นต้นแบบประชาธิปไตยดิจิทัล (Digital Democracy) ของโลก
“Ashwini Vaishnaw” เป็นอีกตัวอย่างของผู้ที่ผ่านงานทั้งการเป็นวิศวกร ข้าราชการ และผู้บริหารเอกชน ก่อนขึ้นเป็นรัฐมนตรีด้านอิเล็กทรอนิกส์และไอทีของอินเดีย เขาจบด้านวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และสื่อสารด้วยเกียรตินิยม และต่อมารับตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงทั้งที่ GE Transportation และ Siemens
ต่อมาในปี 2021 Vaishnaw ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรี ทำการขับเคลื่อนโครงการ Digital India, โครงการ semiconductor และการพัฒนากำลังคนด้าน AI ระดับนับล้านคน โดยใช้วิธีคิดแบบวิศวกรและผู้บริหารโครงการใหญ่ เน้นข้อมูลและโครงสร้างระยะยาว มากกว่าโครงการแยกส่วนรายปี ซึ่งเป็นการสะท้อนการใช้ต้นทุนทางเทคโนโลยีและประสบการณ์การทำงานของเขาอย่างสมดุล
อีกตัวอย่างหนี่งคือ “Karsten Wildberger” อดีตผู้บริหารในภาคเอกชนที่มีประสบการณ์กว่า 20 ปีในหลายบริษัท เช่น McKinsey, Vodafone, T‑Mobile, E.ON และ Telstra โดยรับผิดชอบงาน Digital Transformation และต่อมาขึ้นเป็น ซีอีโอของ CECONOMY AG และเพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีคนแรกของกระทรวงดิจิทัล ประเทศเยอรมัน ซึ่งเป็นกระทรวงที่ดึงภารกิจงานด้านดิจิทัลจาก 6 กระทรวงเดิมมารวมกัน เพื่อมุ่งเน้นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การนำ AI มาใช้ในบริการสาธารณะและสุขภาพ
รวมถึงการปรับปรุงระบบราชการให้มีประสิทธิภาพ โดยได้รับการเปรียบเทียบกับ Elon Musk เขายังสนับสนุนกระบวนการรัฐที่มีประสิทธิภาพโดยอ้างอิงตัวอย่างจากเอสโตเนียและกรีซ และเป็นที่รู้จักในสไตล์การทำงานที่ไม่ยึดติดแบบแผนดั้งเดิม
อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือกรณีของคนที่มีโปรไฟล์ด้านเทคโนโลยีโดดเด่น หรืออย่างน้อยก็ถูกเสนอให้เป็นรัฐมนตรีทางด้านเทคโนโลยีหรือนวัตกรรม แต่กลับเจอมรสุมการเมืองและข้อกล่าวหาหลังได้รับตำแหน่ง
รายแรกคือ “Nadiem Makarim” ผู้ก่อตั้ง Gojek ที่เป็น SuperApp ของอินโดนีเซีย โดยบริษัทมีมูลค่ากว่า 10 พันล้านดอลลาร์ ที่เริ่มจากเรียกรถขยายสู่การชำระเงิน บริการส่งอาหารและโลจิสติกส์ จนได้รับการยอมรับจาก WEF และสื่อระดับโลก เขาถูกแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีการศึกษา วัฒนธรรม วิจัยและเทคโนโลยีในปี 2019 โดยมีภารกิจสร้างการศึกษาเข้าสู่ดิจิทัล ผ่านโครงการจัดหา Chromebook ให้โรงเรียนห่างไกล
แต่ในปี 2025 เขาถูกจับกุมและถูกคุมขังชั่วคราว 20 วันในฐานะผู้ต้องสงสัยคดีคอร์รัปชันจัดซื้อ Chromebook มูลค่าความเสียหายรัฐราว 121.85 ล้านดอลลาร์โครงการจัดซื้อนี้ถูกตั้งข้อสังเกตถึงความไม่โปร่งใสในหลายประเด็นหลัก เริ่มจากการล็อกสเปก โดยออกระเบียบที่เอื้อให้มีเพียง Chromebook เท่านั้นที่ผ่านเกณฑ์ ซึ่งพบความผิดปกติจากการที่คณะทำงานได้เข้าพบตัวแทนบริษัทล่วงหน้า หลายครั้งก่อนเริ่มกระบวนการ นอกจากนี้ยังมีการเพิกเฉยต่อข้อจำกัดด้านเทคนิค แม้จะมีคำเตือนว่าตัวเครื่องไม่เหมาะสมกับพื้นที่ที่ขาดแคลนอินเทอร์เน็ตและไฟฟ้า
จุดน่าสนใจคือ เขานำแนวคิดแบบสตาร์ทอัพ “move fast and break things” มาใช้กับระบบราชการและจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ ซึ่งมีกรอบกฎหมายและความโปร่งใสที่เข้มงวดกว่ามาก ทำให้เกิดการเร่งดันโปรเจกต์ใหญ่โดยละเลยขั้นตอนประกวดราคาและการประเมินเชิงเทคนิค
อีกตัวอย่างคือ “Izhar Shay” ผู้ประกอบการและนักลงทุนเทคโนโลยีในอิสราเอล มีประสบการณ์กว่า 25 ปีในแวดวงสตาร์ทอัพและกองทุน VC โดยเฉพาะในด้าน AI และ Deep Tech เขาได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในรัฐบาลผสมช่วงสั้นๆ ปี 2020-2021
ถึงแม้จะไม่มีคดีคอร์รัปชัน แต่ผลงานเชิงนโยบายดิจิทัลกลับไม่มีอะไรที่โดดเด่น และเมื่อรัฐบาลยุบลง เขาก็ไม่สามารถกลับเข้าสภาได้อีก ถูกมองว่าล้มเหลวในการแปลงวิสัยทัศน์ด้านเทคโนโลยีให้กลายเป็นพลังทางการเมืองและนโยบายอย่างแท้จริง กรณีนี้ชี้ให้เห็นว่า ความสำเร็จในโลกสตาร์ทอัพและ VC ไม่ได้แปลว่าจะมีทักษะทางการเมือง เช่น การต่อรองในรัฐบาลผสม การบริหารพันธมิตรในสภา และการสร้างฐานคะแนนเสียงในพื้นที่เลือกตั้ง
จากตัวอย่างของรัฐมนตรีในประเทศต่างๆ จะเห็นได้ว่า การมีประสบการณ์ลึกในโลกไอที ดิจิทัล หรือนวัตกรรม เป็นข้อได้เปรียบสำคัญต่อการออกแบบนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลที่มีคุณภาพ แต่ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ยืนยันได้ว่าบุคคลนั้นจะประสบความสำเร็จในตำแหน่งรัฐมนตรี
แต่สิ่งที่ต้องมาควบคู่กันคือ ความเข้าใจเกมการเมืองและโครงสร้างองค์กร วัฒนธรรมจริยธรรมและความโปร่งใสที่แข็งแรง และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความสามารถในการเชื่อมโลกเทคโนโลยี เข้ากับนโยบายทั้งด้านกฎหมาย งบประมาณ และระบบราชการได้
หากประเทศใดสามารถออกแบบทั้งคนและระบบได้ลงตัว ก็มีโอกาสสูงที่จะใช้รัฐมนตรีดิจิทัลรุ่นใหม่เป็นหัวรถจักรของการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจและภาครัฐในระยะ 10–20 ปีข้างหน้า โดยไม่ต้องเสี่ยงเดินซ้ำรอยคดีคอร์รัปชันโครงข่ายดิจิทัลขนาดใหญ่ที่โลกเคยเห็นมาแล้วหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา







