คุณภาพชีวิต-สังคม
ป่วยเพราะชอบหวาน

ปัญหาการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทางด้านอาหารของโลกก็คือ น้ำตาล ที่อยู่ในอาหารแทบทุกประเภทในปัจจุบัน คนรุ่นใหม่บริโภคน้ำตาลมากเกินไป
ร่างกายของเราเป็นสิ่งมหัศจรรย์ สามารถปรับตัวตามพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมเพื่อให้ร่างกายสมดุลอยู่เสมอ ร้อนก็อยู่ได้ หนาวเย็นอุณหภูมิติดลบก็ยังอยู่ได้ หรือเราชอบทานอาหารชนิดใดร่างกายก็จะปรับเปลี่ยนไป เช่น ชาวต่างชาติที่ชอบเนื้อสัตว์เป็นหลักก็จะมีน้ำย่อยที่เข้มข้นและมากกว่าคนไทยที่ทานผักเป็นอาหารหลัก วิวัฒนาการการเปลี่ยนแปลงในร่างกายนั้นต้องใช้เวลาหลายร้อยปี คนไทยรุ่นปู่-ย่าของเราทานอาหารที่มีผัก ผลไม้ ธัญพืช เป็นหลัก เพิ่งมาเปลี่ยนเป็นทาน เนื้อ นม ไข่ เมื่อไม่กี่ 10 ปี ทำให้กระบวนการย่อยสลายอาหารของคนไทยทำได้ไม่สมบูรณ์ จนเป็นโรคที่เกี่ยวกับกระเพาะอาหารและลำไส้กันยกใหญ่ ตั้งแต่ท้องอืด กรดไหลย้อน ลำไส้อักเสบ ท้องผูก ริดสีดวง ล้วนแล้วเกิดจากระบวนการย่อยอาหารที่ทำได้ไม่ดีนัก ปัญหาการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทางด้านอาหารของโลกอีกอย่างก็คือ “น้ำตาล” ที่อยู่ในอาหารแทบทุกประเภทในปัจจุบัน คนรุ่นใหม่บริโภคน้ำตาลมากเกินกว่าที่ร่างกายจะนำไปใช้ได้หมด จนหลงเหลืออยู่ในกระแสเลือดและถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นไขมันพอกอยู่ตามหน้าท้อง ต้นขา ต้นแขน เรียกง่ายๆ ว่าอ้วนขึ้นเรื่อยๆ เพราะบริโภคน้ำตาลมากไปโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง น้องฟ้า อายุ 15 ปี น้ำหนัก 60 กิโลกรัม เข้ามาพบหมอพร้อมคุณแม่ ด้วยอาการปวดหัวบ่อยๆ ปวดต้นคอมากๆ ปวดขาด้านข้าง ง่วงนอนทั้งวัน เวลาเดินเร็วหรือวิ่งจะมีเสียงกระดูกดังก็อกแก็กแทบทั้งตัวเหมือนคนแก่ ออกกำลังกายบ่อยๆ แต่ก็รู้สึกว่าอ่อนเพลียอยู่ตลอดเวลา เมื่อได้พูดคุยด้วยก็ได้รู้ว่าอาหารการกินเลือกอย่างดี แต่เน้นเป็นเนื้อสัตว์เพราะกลัวว่าลูกจะไม่โตไม่สูง คุณแม่น้องฟ้าบอกว่าเห็นญาติๆ เขาทานกันแบบนี้ลูกสูงใหญ่ก็เลยทำบ้าง อีกทั้งอาหารหลักที่น้องฟ้าขาดไม่ได้ก็คือ อาหารหวานๆ น้ำหวาน ชาเขียว ชาเย็นและช็อคโกแลต สาเหตุอยู่ที่ตรงนี้นี่เอง เมื่อทานหวานเข้าไปก็ทำให้น้ำตาลในกระแสเลือดสูง ร่างกายก็จะพยายามลดน้ำตาลในกระแสเลือดลง จนกลายเป็นน้ำตาลในกระแสเลือดต่ำ ขึ้นๆ ลงๆ อยู่แบบนี้ทั้งวัน ลักษณะอาการป่วยของคนที่ชอบทานหวานบ่อยๆ ก็คือ ง่วงนอนง่ายและปวดมึนศีรษะ(ตอนที่น้ำตาลในเลือดลดลง) กระดูกพรุน ฟันผุ ผู้ที่ชื่นชอบการทานน้ำหวานหรือเค้ก คุ้กกี้ ช็อคโกแลต อีกโรคหนึ่งที่เจอได้บ่อยในคลินิกของผมก็คือ ผื่นคันตามร่างกาย หลายคนเป็นหนักจนเป็นโรคสะเก็ดเงิน เพราะร่างกายขับสารพิษที่เกิดจากการย่อยสลายน้ำตาลในเลือดออกมาตลอดเวลา หากมัวแต่ไปหายามาทา ทานแต่ยาฆ่าเชื้อ มันก็ไม่มีทางหายเพราะสาเหตุอยู่ที่ลิ้นของเรานี่เอง ที่ทานแต่ของหวานจนติดเป็นนิสัย วิธีแก้ไขต้องหยุดการทานของหวานเสียก่อน ทำไมเราจึงควรลดการบริโภคน้ำตาล 1. เมื่อทานน้ำตาลมากเกินไป น้ำตาลจะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เลือดมีสภาพเป็นกรด ดึงแร่ธาตุจากส่วนต่างๆ ของร่างกายมาแก้ไขความไม่สมดุลนี้ สังเกตได้จากผู้ที่ทานน้ำตาลมากทำให้ฟันผุและกระดูกพรุน 2. น้ำตาลจะถูกเก็บไว้ที่ตับในรูปของไกลโคเจน แต่ถ้ามีมากเกินไปตับก็จะส่งไปยังกระแสเลือดและเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โดยจะสะสมไว้ตรงบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น สะโพก ขาอ่อน หน้าท้อง 3. หากยังรับประทานน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง กรดไขมันก็จะสะสมที่อวัยวะอื่นๆ นอกจากตับ เช่น หัวใจ หลอดเลือดทำให้เป็นโรคหลอดเลือดและโรคความดัน 4. หากบริโภคน้ำตาลบ่อยๆ ค่าของน้ำตาลขึ้นลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ง่วงและมึนศีรษะง่าย 5. มีอาการปวดศีรษะเรื้อรัง เป็นตะคริวระหว่างมีรอบเดือน ไมเกรน เบาหวาน และมะเร็งตับ 6. น้ำตาลทำให้อาการของโรคติดเชื้อที่เป็นอยู่มีสูงขึ้น เพราะเชื้อโรคทุกชนิดใช้น้ำตาลเป็นอาหาร 7. เด็กที่รับประทานน้ำตาลมากเกินไป จะส่งผลให้เป็นโรคกระดูกเปราะ ฟันผุและอาจเป็นคนสมาธิสั้น หากอยากให้คนในครอบครัวแข็งแรง ไม่ป่วยง่าย แก่ไว กระดูกผุ กระดูกพรุน ผิวหนังเป็นผดผื่น สิ่งแรกคือแก้ปัญหากันที่ต้นเหตุบนโต๊ะอาหารและตู้เย็นในบ้าน เริ่มจากการเก็บกวาดน้ำอัดลม ชาเย็น ชาเขียวใส่น้ำตาล น้ำผลไม้เทียม ฝึกให้ลูกหลานของเราทานอาหารรสชาติอื่นๆบ้าง เช่น รสเปรี้ยว เผ็ด ขม หากอยากทานอาหารหวานๆ บ้าง ก็แนะนำผลไม้ที่มีรสหวานแทน เช่น แอปเปิ้ล ส้ม องุ่น หากไม่ทำในวันนี้อีกสิบปีข้างหน้า คงจะมีแต่น้ำหวานน้ำอัดลมอยู่ทั่วทุกโต๊ะอาหารและก็จะมีลูกหลานของเราอยู่ในโรงพยาบาลกันมากมายเช่นกัน







