เคยฟังกันบ้างไหม

เคยฟังกันบ้างไหม

มีคอร์สอบรมจะพูดสาธารณะได้อย่างไร จะเป็นผู้นำเสนอได้ดีได้อย่างไร แต่น่าจะมองมุมกลับว่า เราจะเป็นผู้ฟังที่ดีนั้นทำอย่างไร

ที่ผ่านๆ มามีคอร์สอบรมเรื่องการสื่อสารจำนวนมากมายครับ ว่าจะเป็นนักพูดอย่างไร จะพูดสาธารณะได้อย่างไร จะเป็นผู้นำเสนอสิ่งต่างๆ ได้ดีได้อย่างไร แต่น่าจะมองมุมกลับว่า เราจะเป็นผู้ฟังที่ดีนั้นทำอย่างไร ทั้งๆ ที่คนเรานั้นมีปากเพียงแค่ปากเดียว (ที่ต้องแบ่งฟังก์ชันงานไปรับประทานอาหารด้วย) แต่ว่ามี "หู" ที่มีเอาไว้รับรู้แต่เพียงอย่างเดียวอยู่สองข้าง ไม่ต้องทำอะไรอื่นยกเว้นฟัง

แต่บางคนก็มีหูเหมือนมีเอาไว้เก็บขี้หูแต่อย่างเดียวเพราะว่า ได้ยินว่าคนอื่นพูดอะไร แต่ว่าไม่เคยได้ฟังว่าคนอื่นเขาพูดอะไร ตัวเองได้ยินแต่เสียงตัวเองและวันๆ ก็รอแต่จะตัดจังหวะคนอื่นพูด แล้วตัวเองก็แสดงออกซึ่งความคิดความอ่านความเห็นของตัวเองเสียหมด

จริงๆ แล้ว เราไม่ต้องมีเทคนิคการฝึกอะไรมากมายหรอกครับในเรื่องของการฟัง เพราะมันเป็นเรื่องของการเปิดใจและการตั้งสมาธิ หากว่าตัดสินใจที่จะไม่ฟัง ทำยังไงมันก็ไม่ฟังอยู่ดี มีเสียงเยอะแยะมากมายหากมี “ทัศนคติ” ที่จะบอกว่า ความคิดตัวเองเหนือที่สุด ล้ำที่สุด มีค่ามากที่สุด สนุกที่สุด น่าสนใจมากที่สุด หูดีขนาดไหน ผนวกกับใส่เครื่องช่วยฟังอีก ข้างละเครื่องเลยก็เท่านั้น

เริ่มต้นคงต้องเป็นการเปิดใจว่า เราตั้งใจจะฟัง จากนั้นก็ปิดเสียงตัวเองลงจนเงียบที่สุด ... เงียบ... เงียบ... เงียบบบบบบ

แล้วก็เปิดรับฟังคำพูดของคนอื่น แล้วสังเกตจิตของตนว่า เราเถียงในใจบ้างไหม หรือเราฟังเขาโดยเป็นกลาง ไม่มีการเถียงหรือแสดงความคิดเห็นสวนกับ คำพูดที่วิ่งเข้ามากระทบโสตของเรา

นี่คือสาเหตุที่เขาบอกให้เด็กนั้น ตอนเด็กๆ ต้องฟังครูและเงียบ ห้ามพูด เพื่อที่จะต้องการให้เด็กนั้นเรียนรู้ที่จะรับรู้มากๆ หากว่าเด็กที่ว่ายุกยิกๆ นั้นยังสามารถที่จะนิ่งได้ (บ้าง) และรับฟังสิ่งที่ครูสอนได้ เราเป็นผู้ใหญ่ หากเราทำไม่ได้ ก็นึกถึงตอนที่เป็นเด็ก แล้วคิดละกันว่าขนาดลิงอย่างเด็กยังนิ่งและฟังได้ โตขึ้นเรากลับทำสิ่งที่เด็กทำไม่ได้

ตอนแรกคงไม่ต้องตั้งเป้าที่จะฟังตลอดการสนทนา เพราะคนที่ไม่มีทัศนคติพร้อมที่จะรับฟังผู้อื่นนั้น เพียงแต่ไม่แทรกด้วยการพูดตัดผู้อื่น แค่เพียง 1 นาทีก็ยากเหลือเข็นแล้ว แต่ควรจะค่อยๆ ฝึก ตั้งเป้าเอาไว้ทีละน้อย เช่น ลองข่มตัวเองสักวันละ สองบทสนทนา จากนั้นค่อยๆ ขยายเป็นวันละ 3 4 ตามลำดับ จนกระทั่งสามารถที่จะฟังได้ตลอดเวลา โดยที่สามารถสับสวิตซ์หยุดปุ่มช่างพูดช่างเจรจาของตัวเองได้ และรับฟังเสียงของผู้อื่นได้ทีละน้อยทีละน้อย

สำหรับผู้ที่ปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว กระบวนการนี้น่าจะง่ายหน่อย เพราะรู้จักทำใจให้ว่างเพียงแค่เตือนสติว่า ว่าง แม้แต่เวลาสนทนากับผู้อื่น เพราะการฟังผู้อื่นนั้น ไม่ว่าจะเป็น คนที่เสมอกันกับเรา หรือมีสถานะด้อยกว่าเรา ก็ล้วนแต่ป็นสิ่งที่มีคุณค่ามหาศาล เพราะว่ามนุษย์แต่ละคนมีมุมมองที่แตกต่างกัน เห็นในสิ่งที่ไม่เหมือนกัน บางครั้งแววตานกของเราอาจจะสู้แววตาจากมุมล่างของผู้อื่น เช่น เด็กหรือคนที่เป็นลูกน้อง ไม่ได้เสียด้วยซ้ำ

นอกจากนี้ การพัฒนาทักษะการฟังจะทำให้มองเห็นจิตใจของผู้อื่น ไม่คิดแทนกันอีกด้วย และลดอัตตาของตัวเราได้ทีละน้อยอีกด้วยนะครับ