ฝันสุดท้ายเรื่องความตายของ 'เต๋อ-นวพล'&'ศุ บุญเลี้ยง'

ฝันสุดท้ายเรื่องความตายของ 'เต๋อ-นวพล'&'ศุ บุญเลี้ยง'

คนส่วนใหญ่เลี่่ยงที่จะไม่พูดถึงความตาย และนี่คือความเห็นของผู้กำกับหนังและนักเขียน

 

“ใครยื้อ กูแช่ง เกิดมาใช้ชีวิตคุ้มค่าแล้ว...” ศุ บุญเลี้ยง ศิลปิน นักเขียน กล่าว 

ส่วนเต๋อ-นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ผู้กำกับอินดี้ บอกว่า “ถ้าผมพูดไม่ได้ ก็พอแล้ว ไม่ต้องปั๊มหัวใจ"

นี่คือ ประโยคปิดท้ายการสนทนาเรื่อง การเตรียมชีวิตในวาระสุดท้าย มุมมองศิลปิน ในงานสร้างสุขที่ปลายทาง ครั้งที่ 3 ของสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ

 

-1-

ในวาระสุดท้ายของหลายคนอาจเลือกไม่ได้ว่า จะจากไปอย่างสงบตามธรรมชาติ หรือถูกยื้อชีวิตด้วยเครื่องมือแพทย์ เพราะเมื่อสื่อสารไม่ได้แล้ว ญาติพี่น้อง สามีหรือภรรยา จะเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจแทน ซึ่งวิธีดูแลรักษาอาจไม่ตรงกับความต้องการฃองคนไข้ก็เป็นได้

 

ทางคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ จึงพยายามให้ความรู้ประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องการเตรียมตัวในวาระสุดท้ายของชีวิต และการเขียนหนังสือแสดงเจตนา ตามพ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มาตรา 2 ที่เรียกว่า Living Will (ความต้องการครั้งสุดท้ายของชีวิต หรือพินัยกรรมชีวิต)

 

ในมุมของศิลปิน ศุ บอกว่า ถ้ามีโอกาสก็อยากพูดและสื่อสารเรื่องนี้ ไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับเรืื่องความตาย ผลงานหนังสือที่เขียนเมื่อปีที่แล้ว ก็ตั้งชื่อว่า ศุสาน ไม่ได้คิดว่าไม่เป็นมงคล แต่เป็นการเตือนตัวเอง

 

“ผมไม่กลัวตายเท่ากับกลัวตายไม่ดี ตอนผมพาพ่อไปบอลลูนหัวใจ หมอก็ให้ดูจังหวะการเต้นของหัวใจ ผมเอาเสียงการเต้นของหัวใจของพ่อไปให้นักดนตรีทำจังหวะสำหรับเพลงที่ผมแต่ง หัวใจพ่อ ทำยังไม่เสร็จ นักดนตรีตาย”

 

ไม่มีใครรู้ว่า ความตายจะมาเยือนเมื่อไหร่ ตอนเป็นหนุ่มเป็นสาวก็ไม่ได้คิดเรื่องนี้ เหมือนเช่น เต๋อ-นวพล บอกว่า เมื่อก่อนรู้สึกว่าความตายเป็นเรื่องคนสูงอายุ แต่พอ20 ปลายๆ รู้สึก ความตายไม่ได้กำหนดด้วยอายุ

 

“ตอนนี้อายุ 36 ก็มีเพื่อนจากไปด้วยอุบัติเหตุ และจากไปด้วยการตัดสินใจของเขาเอง ความตายจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ได้ห่างจากเราเลย “

 

เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว เขาเขียนบทและกำกับหนังเรื่อง พรุ่งนี้ตาย หรือดายทูมอร์โรว์(Die Tomorrow) จากเค้าโครงเรื่อง 6 เหตุการณ์การเสียชีวิตบนหน้าหนังสือพิมพ์ สร้างเป็นหนังสั้นที่ไม่มีจุดเชื่อมโยงกัน และฉายสลับกับสารคดีว่าด้วยเรื่องมุมมองการตายของคนต่างวัย

 

หากถามว่า อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้เขาทำหนังเรื่องนี้ เต๋อ-นวพล บอกว่า เมื่อคนรอบตัวจากไปเร็วกว่าที่คิด จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว

 

 “ผมอยู่ในครอบครัวคนจีน พูดเรื่องตายไม่ค่อยได้ แต่ก็ต้องทำความเข้าใจ จริงๆ แล้วไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น เราดีไซน์มันได้ ยิ่งคิดเรื่องนี้ตอนเป็นหนุ่มเป็นสาว เราก็จะไม่กลัวมัน กลายเป็นเรื่องปกติ”

 

ตอนที่เขาไปถ่ายทำสารคดีหลากมุมมองกับความตาย เต๋อ-นวพล เล่าว่า มีโอกาสพูดคุยกับคุณปู่อายุ 103 ปีที่ใช้ชีวิตผ่านมาหลายยุคหลายสมัย ก็คิดว่าชีวิตคุณปู่คงสนุกแน่ๆ แต่ไม่เป็นอย่างที่คิด

 

“คุณปู่บอกว่า เบื่อ เมื่อไหร่จะตายซะที ไม่รู้ทำไมไม่ตาย ทั้งๆ ที่คนรอบตัวจากไปทีละคน สองคน " เต๋อ-นวพล เล่า และ ศุ แทรกว่า เคยคุยกับคนญี่ปุ่นอายุร้อยกว่าปี บอกว่า ยังตายไม่ได้ต้องดูแลแม่

 

-2-

นั่นเป็นประสบการณ์การจากไปของคนรอบตัว ถ้าเป็นคนในครอบครัว ความรู้สึกคงเป็นอีกแบบ ศุ เล่าถึงการจากไปของแม่ว่า แม่บอกว่าถ้าไม่สบายก็อยากตายเลย

 

“ตอนแม่ใกล้ตาย เจ้าหน้าที่ปั๊มหัวใจ เพราะออกซิเจนไม่พอเลี้ยงสมองแปดนาที แต่พอหายใจได้ ก็สื่อสารไม่ได้ ผมก็ไม่รู้ว่า นั่นเป็นนาทีสุดท้ายของแม่หรือเปล่า ปัญหาคือ ใครจะเป็นคนชี้ว่า นี่คือวาระสุดท้าย ตอนนั้นถ้าลูกไม่มีเงิน วันนั้นแม่คงจากไปแล้ว แต่สิ่งที่เราเห็นคือ แม่ทรมาน ลูกหลานคนอื่นก็บอกว่าสู้ๆ นะ แต่ผมบอกแม่ว่า ไม่ต้องห่วง ตอนนั้นแม่รักษาตัวอยู่ 5-6 เดือนก็จากไป ในเฟซบุ๊คผมบอกเพื่อนๆ ว่า ไม่ต้องแสดงความเสียใจ การจากไปของแม่ได้เวลาอันสมควร ให้แสดงความอาลัยก็พอแล้ว”

 

และเมื่อถึงวาระสุดท้ายของพ่อ ศุ เล่าว่า เมื่อพ่อเริ่มไม่อยากกินข้าว พอเข้าใจได้ แต่พอบอกว่าไม่อยากดื่มน้ำ นั่นแสดงว่าร่างกายปฎิเสธการดำรงอยู่ 

 

“ตอนพ่ออายุ 90 ผมก็จัดงานวันครบรอบวันเกิดให้พ่อ ผมบอกเพื่อนๆ ญาติๆ ว่าใครว่างก็มาเจอมาฉลองกัน  ปกติพ่อผมเป็นคนสุขภาพดี พอเข้าโรงพยาบาลอีก ผมบอกว่าอย่าพยายามยื้อชีวิตพ่อผมนะ เพราะอายุ 91 แล้ว ตอนพ่อเสียชีวิต ผมคิดว่าผมทำได้ดีแล้ว”

 

เมื่อคุยเรื่องวาระสุดท้ายของชีวิต เรื่องที่สะเทือนใจที่สุด ศุ บอกว่า ตอนที่ท่านอาจารย์พุทธทาสป่วยและแพทย์ใส่ท่อช่วยหายใจ ทั้งๆ ที่ท่านตระหนักเรื่องนี้มาก และสอนลูกศิษย์เรื่องความตายมาตลอด แต่พอถึงนาทีนั้น ท่านอาจารย์พุทธทาสสั่งแล้วยังไม่ฟัง

 

“แล้วผมเป็นใคร ในครอบครัวผมเอง การตัดสินใจยากที่สุดคือ มีญาติๆ อยู่รอบเตียง ผมหักหาญน้ำใจไม่ได้หรอก”

 

ทางด้านเต๋อ- นวพล บอกว่า ถ้าเราไม่บอกความต้องการไว้ก่อน ญาติพี่น้องก็จะเหนื่อย ตอนนี้มีพินัยกรรมชีวิตให้เขียนแล้ว

“ผมทำหนังเรื่อง ดายทูมอร์โรว์ ก็เพื่อให้เห็นความพยายามในการใช้ชีวิตแต่ละวันของคนเรา ถ้าพรุ่งนี้ไม่ตื่นมา ก็ไม่มีอะไรค้างคาใจ

 

-3-

เมื่อคุยกันถึงเรื่อง การเตรียมตัวตาย ศุ บอกว่า ตอนแม่ยังมีชีวิตอยู่ ก็เคยลองซ้อมการจากไป ตอนที่กลับบ้านที่เกาะสมุย มองไปที่เก้าอี้ตัวนั้น แล้วคิดว่าถ้าแม่ไม่อยู่แล้ว ก็น้ำตาคลอและเศร้า

 

"พอแม่จากไปจริงๆ ผมก็ไม่ร้องไห้ การไปงานศพ ไปฟังเทศน์ก็เป็นการซ้อมเตรียมตัวตาย สิ่งที่ผมไม่ส่งเสริมให้ทำคือ การจัดงานครบรอบวันเกิด เป็นการเพิ่มอัตตา เราควรให้ความสำคัญกับการตายเยอะๆ “

 

เต๋อ-นวพล บอกว่า คนรุ่นเขา มองเรื่องความตายเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้น

“ผมได้เห็นงานศพมันส์ๆ เยอะขึ้น บางคนก่อนตายบอกไว้ว่า ถ้าฉันตายให้ใส่เสื้อผ้าสีไหนมางานศพ ให้จัดมินิคอนเสิร์ต พระไม่ต้องเทศน์ด้วยภาษาบาลี ให้เทศน์ภาษาธรรมดา ผมคิดว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะห่วงเรื่องใดแค่ไหน สุดท้ายเราก็ต้องจากไป ไม่เคยเห็นใครรอดจากเกมนี้”

 

เมื่อถูกถามว่า ถ้ารู้ว่าจะต้องตายในสามเดือน อยากให้งานศพเป็นแบบไหน

ศุ บอกว่า งานศพของเขา ต้องน้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ ทำบุญให้น้อยๆ จัดงานให้เล็กๆ

“ผมมีที่ดินอยู่ติดทะเล ผมอยากให้ฝังผม ถ้าบริเวณนั้นไม่ปลูกต้นไม้ ก็ให้ทำสนามฟุตบอลให้เด็กวิ่งเล่น ผมตายไปแล้วไม่ต้องเคารพแล้ว และผมยังมีความฝันอยากทำหนังสืองานศพก่อนตาย ถ้าใครเขียนจะชมหรือด่าให้ผมเห็นก่อน หนังสืองานศพผมจะปรับปรุงเรื่อยๆ จนถึงวันสุดท้ายก่อนผมตาย ห้ามแก้ไขแล้ว”

 

นอกจากนี้ เขายังยกตัวอย่างศิลปินที่พูดถึงความตายได้ดีมาก อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี บอกว่า ปกติไม่ค่อยไปงานแต่งงาน เพราะเป็นเดรัจฉานกิจกรรม ตอนถูกเชิญขึ้นเวทีอวยพรคู่บ่าวสาว อาจารย์ถวัลย์พูดว่า “แต่งงานมีครอบครัว ขอให้ตายตกไปตามกัน ตั้งแต่ปู่ย่าตายาย พ่อแม่ ลูกหลาน” จากนั้นมีคนพูดว่า ไม่เป็นมงคล อาจารย์ถวัลย์บอกว่า นี่คือมงคลที่สุดของมนุษย์ การตายไปตามลำดับ เพราะเมื่อไหร่ลูกตายก่อน แม่จะหัวใจสลาย

 

ส่วนเต๋อ-นวพล พูดถึงการเตรียมตัวตายในสไตล์ตัวเองว่า การทำหนังเรื่อง ดายทูมอร์โรว์ เป็นหนังรวมทีมงานทั้งหมดที่เคยทำงานด้วยกันไว้เรื่องเดียว เหมือนการเตรียมตัวงานศพ

 

“ถ้าผมตายสามารถเอาหนังมาฉายในงานได้ เพราะเป็นการพูดถึงความตายด้วยตัวเอง”

ส่วนคำถามว่า ถ้าวันหนึ่งต้องนอนติดเตียงในวาระสุดท้าย อยากเลือกการรักษาแบบไหน

 

ศุ บอกว่า ถ้าติดเตียง ขอมอร์ฟีน เพราะอยากรู้ว่า มันสบายยังไง

“ถ้าเป็นไปได้ ผมต้องการการุณยฆาต ผมไม่รู้ว่าจะทรมานไปทำไม ถ้ากินส้มตำหรือดีดกีตาร์ไม่ได้แล้ว ผมจะปฎิเสธการรักษาทุกรูปแบบที่กระทบกระเทือนจิตใจและร่างกายผม อย่ายื้อชีวิตผม นี่คือสิ่งที่ผมอยากได้ ถ้าฟินได้แบบมีมอร์ฟีนก็ดี ได้อยู่ในสถานที่สบายๆ ถ้าเลือกได้ก็ขอตายอยู่กับคนที่ผมรัก

 .....................

การรักษาที่ไม่มีประโยชน์

 

การรักษาโรคทุกระยะ ต้องมีเป้าหมายชัดเจนว่าหวังอะไร แล้วดูว่าการรักษาจะทำให้ถึงเป้านั้นไหม เช่น การให้อาหารในระยะสุดท้ายมีประโยชน์ไหม ในเมื่อร่างกายคนไข้ไม่รับอาหารแล้ว บางทีการไม่ให้อาหารจะทำให้เขาค่อยๆ ซึมลง ร่างกายจะปรับสภาพเองตามธรรมชาติ และทำให้ไปได้สบายกว่า

 

อาจารย์แสวง : การรักษาที่ไม่มีประโยชน์คือ การรักษาที่ไม่ตอบสนอง อะไรไม่เกิดประโยชน์ไม่ต้องทำ อย่างสารอาหารที่ร่างกายไม่ตอบสนองแล้ว หรือมอร์ฟีนที่ให้เยอะๆ ท้องผูก ถ่ายไม่ออก

 

คุณหมอฉันชาย : ถ้าเป็นระยะสุดท้ายของชีวิต การรู้สึกตัวจะน้อยลง ถ้าเราพยายามแก้ไข ล้างไตให้ดีขึ้น ทำให้ของเสียคลั่งน้อยลง คนไข้รู้สึกตัวมากขึ้น เต่โรคเดิมรักษาไม่ได้ ก็ทรมานมากขึ้น หากระยะสุดท้ายคนไข้ไม่กินอาหาร ไม่ทรมานหรอก เพราะเขาไม่หิว

 

อาจารย์แสวง : นี่คือความจริงทางการแพทย์ เมื่อหลายปีที่แล้ว ผมมีโอกาสดูแลน้องที่ป่วยระยะสุดท้าย เราไม่ยัดเยียดอาหาร ผอมไม่เป็นไร  เมื่อเราไม่เร่งรัดธรรมชาติก็ปรากฎตัวให้เห็น สามวันท้ายๆ ก่อนน้องจะสิ้นลม เราไม่ได้ใส่อะไรเข้าไป สารคีโตนหลั่ง

คุณหมอฉันชาย : สารคีโตน(Ketones) คือ สิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายเรา เวลามีของเสียคลั่ง หรือการเผาผลาญอาหารผิดปกติ ถ้าจะรักษาต่อไม่ได้ประโยชน์ อย่างคนไข้ผมเป็นมะเร็งปอด เมื่อกระจายไปทั่วจะหายใจไม่สะดวก หากใส่ท่อช่วยหายใจ แม้จะพยุงชีวิตได้ ก็ต้องจากไป แต่จะให้สบายก็ให้มอร์ฟีนจากไปโดยไม่ทุกข์ทรมาน ดังนั้นมีคำถามว่า การใส่ท่อช่วยหายใจได้ประโยชน์หรือไม่ ในมุมแพทย์ กรณีนี้ไม่ได้ประโยชน์ ไม่แนะนำให้ทำ แต่ญาติอยากให้คนไข้อยู่นานที่สุด 

ส่วนการเจาะคอเป็นการรักษาที่ไม่ได้รับประโยชน์เสมอไปหรือไม่...ก็ไม่ใช่ ถ้าคนไข้มีโรคที่ทำให้การเจาะคอดีขึ้น อย่างเช่นเป็นมะเร็งกล่องเสียง อาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจทางคอ สามารถให้อาหารได้ ก็มีชีวิตอยู่อย่างมีคุณภาพได้

 

    อาจารย์แสวง : โรงพยาบาลต้องเปิดห้องให้คำปรึกษา และมีกรรมการจริยธรรม เพราะบางทีประชาชนก็ไม่มีความรู้เรื่องเหล่านี้ ผมเคยถามแพทย์พยาบาลว่า ถ้าป่วยแบบนี้ต้องใส่ท่อช่วยหายใจทางปาก และเจาะคอแบบนี้เอาไหม...ส่วนใหญ่ไม่เอา แต่ญาติคนไข้อยากให้ทำ 

คำตอบของผมคือ เพราะญาติไม่มีความรู้  อย่างภาวะใกล้เสียชีวิตของน้องผม ปัสสาวะน้อย เท้าเริ่มบวม แสดงว่าร่างกายไม่รับน้ำ ก็เลยปรึกษาคุณหมอ แม้จะให้น้ำเกลือขวดต่อขวดก็ต้องเจาะออกอีก

 

    คุณหมอฉันชาย : ขึ้นอยู่ภาพรวมของคนไข้ อย่างคนไข้ไตวาย ปัสสาวะไม่ออกแล้ว การให้สารน้ำเข้าไป ก็ทำให้สารน้ำคลั่ง ทุกข์ทรมาน โดยภาพรวมถ้าเราไม่ล้างไต การให้น้ำเยอะก็เป็นปัญหาอีก หน้าที่ของเราคือ จำกัดการให้น้ำ แค่ให้คนไข้จิบน้ำนิดๆ ปากไม่แห้ง ถ้ามีอาการทุกข์ทรมานก็ให้มอร์ฟีน ซึ่งเป็นเสมือนดาบสองคม ถ้าให้โด๊สสูงไป คนไข้อาจตายได้ ต้องให้ปริมาณที่เหมาะสม

 

อาจารย์แสวง : มอร์ฟีนเป็นยาเสพติด คุณหมอใช้ได้ทางการแพทย์ ปัญหากฎหมายที่เคยเกิดขึ้น มีกรณีคนไข้ที่มีลูกเป็นหมอสั่งมอร์ฟีนออกนอกโรงพยาบาล กฎหมายไม่ได้ห้าม สิ่งที่ห้ามคือห้ามยืมมอร์ฟีนข้ามโรงพยาบาล เพราะควบคุมไม่ได้

 

 คุณหมอฉันชาย : เคยมีญาติคนไข้มาร้องขอว่า  ถ้าคนไข้จะต้องตาย ให้ใส่ท่อช่วยหายใจประคับประคองชีวิตไว้ก่อน เพราะหวังว่ายาจีนที่นำมาจะออกฤทธิ์ในหนึ่งเดือนข้างหน้า ทำแบบนั้นคนไข้ก็ต้องทนทุกข์ทรมาน ในมุมมองผมเป็นการรักษาซึ่งไม่ได้ประโยชน์ และเราเจอปัญหาแบบนี้บ่อยขึ้น

อาจารย์แสวง :หลักการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ต้องทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วย ไม่ใช่สิ่งที่ญาติคิดว่าดีที่สุด ซึ่งสวนทางกัน

 

........................

     หมายเหตุ : จากการเสวนา บทบาทของครอบครัว ความหวังและทางเลือกของผู้ป่วยวาระสุดท้ายของชีวิต ในมุมศาสตราจารย์แสวง บุญเฉลิมวิภาส นักกฏหมาย ที่เชี่ยวชาญกฎหมายการแพทย์ และรศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย