5 จุดแข็ง WHO มองไทยรับมือ"โควิด19" แต่กลุ่มเปราะบาง-ปฐมภูมิเมือง ยังท้าทาย

5 จุดแข็ง WHO มองไทยรับมือ"โควิด19" แต่กลุ่มเปราะบาง-ปฐมภูมิเมือง ยังท้าทาย

สธ.-WHO สรุปถอดบทเรียนไทยรับมือ “โควิด19”   5 จุดแข็ง  6 ความท้าทาย พบอุปสรรคการเข้าถึงบริการสุขภาพกลุ่มเปราะบาง -ระบบปฐมภูมิเขตเมือง และ 7 ข้อเสนอแนะ เตรียมนำแถลงในเวทีโลกปลาย พ.ค.นี้

  เมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2565 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รมว.สธ.) และ นพ.จอส ฟอนเดลาร์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย แถลงผลสรุปการจัดกิจกรรมการทบทวนการเตรียมความพร้อมกรณีภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า หรือ Universal Health and Preparedness Review (UHPR) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 21-29 เมษายน 2565

     นายอนุทิน กล่าวว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) เลือกประเทศไทยให้เป็นประเทศต้นแบบลำดับที่ 3 ในการนำร่องจัดกิจกรรมการทบทวนการเตรียมความพร้อมกรณีภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า จากการรับมือการระบาดใหญ่ของโรคโควิด 19 เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แนวปฏิบัติที่ดี และข้อเสนอแนะระหว่างประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลก ซึ่งข้อสรุปเบื้องต้นจากการจัดกิจกรรมฯ โดยคณะผู้เชี่ยวชาญองค์การอนามัยโลกและทีมประเทศไทย พบว่า ประเทศไทยมีการบริหารจัดการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขกรณีโควิด 19 เป็นอย่างดี มีความยืดหยุ่น ปรับตัวไปตามสถานการณ์ และเน้นการปฏิบัติได้จริง

“ประเทศไทยได้รับคำชมจากผู้เชี่ยวชาญองค์การอนามัยโลก ถึงนโยบายและมาตรการแนวทางการดำเนินงานดูแลประชาชน ทั้งการรักษาพยาบาลผู้ป่วยและการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 ทางองค์การอนามัยโลก ระบุว่ายินดีสนับสนุนและร่วมทำงานกับประเทศไทย โดยขอให้ประเทศไทยจัดทำรายงาน UHPR และเสนอต่อคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เพื่อขอความเห็นชอบรายงาน นอกจากนี้ ให้เตรียมการแถลงประสบการณ์ UHPR ในที่ประชุม World Health Assembly (WHA) ปลายเดือนพฤษภาคม 2565 และร่วมกับอีก 3 ประเทศนำร่องในการทบทวนปรับปรุงกระบวนการ UHPR ให้ดียิ่งขึ้นก่อนนำไปใช้ในประเทศอื่นๆ” นายอนุทินกล่าว

5 จุดแข็งไทย

    นพ.จอส กล่าวว่า กิจกรรมการทบทวนการเตรียมความพร้อมในภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้าในประเทศไทย ประกอบด้วยการตรวจเยี่ยมพื้นที่ 13 แห่ง การประชุมผู้บริหารระดับสูง 16 ประชุม การฝึกซ้อมแผนสถานการณ์สมมติ 2 ครั้ง และการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลหลัก 29 ท่าน  ประเด็นหลักที่พบ จุดแข็ง 5 ข้อ ได้แก่ 1.มีการสนับสนุนโดยผู้บริหารระดับสูงที่กำหนดนโยบายประเทศ 2.ระบบสาธารณสุขไทยมีความเข้มแข็งจากการลงทุนในด้านระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและระบบปฐมภูมิมาอย่างต่อเนื่องกว่า 4 ทศวรรษ 3.มีความร่วมมือเชื่อมต่อทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม และภาคการศึกษา รวมถึง อสม. 4.มีกระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมกับประชาชนและชุมชน และ 5.มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล นวัตกรรมและการวิจัยเพื่อการตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูล

6 ความท้าทายไทย 
          6 ความท้าทายที่ยังสามารถพัฒนาได้ คือ 1.การบูรณาการข้อมูลจากหลายแหล่ง 2.การดูแลกลุ่มเปราะบาง เช่น แรงงาน ผู้อาศัยในชุมชนแออัด ผู้พลัดถิ่น  ให้เข้าถึงบริการสุขภาพมากขึ้น 3.การเตรียมความพร้อมรับภาวะฉุกเฉินในเขตเมืองและระบบปฐมภูมิ 4.ความเหนื่อยล้าจากการรับมือกับการระบาดใหญ่และความชะล่าใจของสาธารณชน 5.การต่อยอดหรือสร้างความยั่งยืนในการใช้นวัตกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น และ6.การจัดการกับขยะทางการแพทย์หรือขยะติดเชื้อ

7 ข้อเสนอแนะ

       และมี 7 ข้อเสนอ ประกอบด้วย  1.ให้เพิ่มการลงทุนเรื่องนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อให้สามารถใช้งานต่อเนื่อง 2.พัฒนากำลังคนแบบสหสาขาและนำกลยุทธ์ที่ใช้ได้ดีไปเตรียมพร้อมรับมือการระบาดใหญ่ครั้งต่อไป 3.เน้นการให้ความสำคัญแก่การเสริมสร้างสุขภาพ สุขภาวะ และการไม่แบ่งแยกคนที่เป็นกลุ่มประชากรเปราะบางทุกกลุ่ม 4.ยกระดับขีดความสามารถการพึ่งพาตนเองด้านวัคซีน ยา ชุดตรวจ และเวชภัณฑ์ 5.ต่อยอดการพัฒนายุทธศาสตร์และดำเนินการด้านการบูรณาการข้อมูล 6.ขยายความร่มมือภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น  การจัดการขยะทางการแพทย์ และ7.เก็บข้อมูล บันทึก และเผยแพร่แนวทางปฏิบัติที่ดีเลิศและถอดบทเรียนจากการตอบโต้สถานการณ์ในภาวะการระบาดใหญ่ทั่วโลก 

         นพ.จอส กล่าวด้วยว่า หลักพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้ประเทศใดๆ เตรียมพร้อมและตอบโต้ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขได้ดี จะต้องมี 1.ผู้นำทางการเมืองระดับสูงรับเรื่องเป็นพันธสัญญา 2.การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และ 3.กรอบความรับผิดชอบ 3 ด้าน ได้แก่ สุขภาพถ้วนหน้า การเตรียมพร้อมตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน และสุขภาวะที่ดีขึ้นของประชากร นอกจากนี้ ความสำเร็จจะเกิดได้ขึ้นกับการนำไปสู่การลงมือปฏิบัติโดยถือเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วน ซึ่ง ดร.สมิลา อัสมา ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก แสดงความชื่นชมที่รัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งในเรื่องนี้

       สำหรับกิจกรรมการทบทวน UHPR ตลอดช่วงวันที่ 21-29 เม.ย. 2565 มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องของการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 ในสถานประกอบการและผู้ประกันตน การดูแลแรงงานทุกเชื้อชาติ ติดตามการดำเนินงานในพื้นที่ชลบุรี และสมุทรสาคร กิจกรรมหน่วยงานเครือข่ายและชุมชนในกรุงเทพมหานคร มีการฝึกซ้อมแผนด้วยสถานการณ์สมมติ โดยหน่วยงานจากกระทรวงต่างๆ ที่ร่วมดำเนินมาตรการรับมือภาวะฉุกเฉินกรณีโรคโควิด 19 และสัมภาษณ์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อการป้องกันควบคุมโรค ทำให้เห็นการประสานงานหลายภาคส่วนจนถึงในระดับชุมชน