ความท้าทายใหม่ที่เจ้าของที่ดินต้องรับมือ

ความท้าทายใหม่ที่เจ้าของที่ดินต้องรับมือ

ในปี 2568 ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่มีการปรับอัตราการเก็บใหม่ กลายเป็นประเด็นที่ภาคธุรกิจและเจ้าของที่ดินต้องให้ความสนใจอย่างยิ่ง เนื่องจากมีการกำหนดเก็บภาษีเต็ม 100% เป็นความท้าทายใหม่

ในปี 2568 ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่มีการปรับอัตราการเก็บใหม่ กลายเป็นประเด็นที่ภาคธุรกิจและเจ้าของที่ดินต้องให้ความสนใจอย่างยิ่ง เนื่องจากมีการกำหนดเก็บภาษีเต็ม 100% ซึ่งไม่ใช่แค่ความท้าทายทางการเงิน แต่ยังสะท้อนถึงความพยายามในการกระตุ้นให้เจ้าของที่ดินนำที่ดินมาใช้ประโยชน์จริงๆ แทนการปล่อยทิ้งว่างไว้

ตามที่ประกาศใหม่ในปี 2568 ภาษีที่ดินจะแบ่งออกเป็นหลายประเภท โดยอัตราภาษีที่กำหนดมีตั้งแต่ 0.01% ถึง 0.7% ขึ้นอยู่กับการใช้งานของที่ดิน เช่น ที่ดินเกษตรกรรมจะจัดเก็บภาษีที่อัตราต่ำสุด 0.01% ส่วนที่ดินพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรมจะเก็บภาษีที่สูงสุด 0.7% การเก็บภาษีที่ดินในลักษณะนี้สะท้อนถึงการมุ่งเน้นให้ที่ดินที่ไม่ทำประโยชน์ถูกใช้ให้เต็มประสิทธิภาพ


จุดที่น่าสนใจ คือ การจัดเก็บภาษีที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์หรือที่ “ทิ้งว่าง” เกิน 3 ปี ในกรณีนี้จะมีการเก็บภาษีเพิ่มขึ้นทุก 3 ปี โดยจะเพิ่มขึ้น 0.3% ทุกๆ 3 ปี จนสูงสุดไม่เกิน 3% ซึ่งหมายความว่า หากเจ้าของที่ดินไม่ได้ใช้ประโยชน์จากที่ดินนั้นๆ จะต้องเสียภาษีที่สูงขึ้นจาก 0.3% เป็น 0.6% หรือ 0.9% เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเจ้าของที่ดินที่ปล่อยทิ้งไว้เกิน 3 ปี ภาระภาษีอาจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าอย่างชัดเจน เช่น จากการเก็บภาษีในอัตรา 0.3% ของมูลค่าที่ดินจาก 3,000 บาท เป็น 6,000 บาท ต่อหนึ่งล้านบาท

แนวคิดนี้มุ่งผลักดันให้เจ้าของที่ดินเริ่มพิจารณาใช้ที่ดินที่ไม่ได้ใช้งานให้เกิดประโยชน์ เช่น การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หรือ การทำเกษตรกรรม ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับที่ดินและส่งเสริมเศรษฐกิจในภาพรวมได้ อย่างไรก็ตาม การเก็บภาษีในรูปแบบนี้ก็อาจสร้างความกังวลให้กับผู้ที่ถือครองที่ดินในระยะยาว ซึ่งอาจต้องวางแผนการเงินและการใช้ประโยชน์จากที่ดินอย่างรอบคอบ

ขณะเดียวกัน กระทรวงมหาดไทย ได้ขยายเวลาการดำเนินการเกี่ยวกับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างออกไปอีก 2 เดือน เพื่อให้การจัดเก็บภาษีเป็นไปอย่างราบรื่นและสามารถบรรเทาภาระให้กับผู้เสียภาษีได้มากขึ้น โดยมีการขยายกำหนดเวลาในการดำเนินการหลายประการ เช่น การจัดทำบัญชีที่ดิน การประกาศราคาประเมินมูลค่าที่ดิน และการส่งแบบประเมินภาษี ซึ่งยืดออกไปจนถึงช่วงเดือนมิถุนายน ถึง สิงหาคม 2568

การขยายเวลานี้น่าจะช่วยให้เจ้าของที่ดินและผู้ประกอบการสามารถจัดการกับภาระภาษีได้ดีขึ้น และมีเวลามากขึ้นในการวางแผนการเงิน รวมถึงการปรับตัวให้ทันกับการเก็บภาษีที่สูงขึ้นในอนาคต

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่ต้องจับตาคือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะกลุ่มเจ้าของที่ดินที่มีที่ดินว่างหรือไม่ได้ใช้งานอย่างเต็มที่ เพราะการเก็บภาษีที่ดินในลักษณะนี้อาจสร้างแรงกดดันให้เจ้าของที่ดินต้องเร่งพัฒนาและใช้ที่ดินของตนให้เกิดประโยชน์ เพื่อหลีกเลี่ยงภาระภาษีที่สูงขึ้นตามมา