สิงห์เอสเตทเคลื่อนกลยุทธ์ S-EXCELS ดัน 4 พอร์ตธุรกิจโตสู่ริจินัลแบรนด์
อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวอย่างรวดเร็วส่งผลดีต่อภาคธุรกิจเกี่ยวเนื่องเป็นโอกาสของบิ๊กคอร์ปอเรต “สิงห์ เอสเตท” เดินหน้าเคลื่อนธุรกิจเจาะโอกาสใหม่หลังโควิด
ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S กล่าวว่า สิงห์ เอสเตท พร้อมขยาย 4 กลุ่มธุรกิจหลัก โรงแรม ที่พักอาศัย อาคารสำนักงาน และนิคมอุตสาหกรรม ภายใต้กลยุทธ์ “S-EXCELS” ที่มุ่งสู่ความเป็นเลิศในทุกมิติ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน หรือ Sustainable Diversity วางเป้าหมายเติบโต 20% ต่อเนื่องช่วง 3 ปีข้างหน้า (2566-2568)
“เราเคลื่อนทัพด้วยความแตกต่าง และขยายตลาดด้วยความรวดเร็ว พร้อมร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อขยายธุรกิจ ทั้งโรงแรม ที่พักอาศัย พร้อมมุ่งสู่ริจินัลแบรนด์”
โดยกลุ่มธุรกิจที่พักอาศัย (Residential) มีแผนเปิด 5 โครงการใหม่ มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท เป็นบ้าน 3 โครงการ คลัสเตอร์โฮม 2 โครงการ ภายใต้โมเดลใหม่ กล่าวคือ เปิดให้จองซื้อที่ดินก่อนสร้างบ้านและมีทำเลอยู่ในสุขุมวิท ขนาดโครงการไม่เกิน 10 ไร่ ราว 8-9 ยูนิต ราคายูนิตละ 550 ล้านบาท
ปัจจุบันสิงห์ เอสเตท มีพอร์ตบ้าน 4 กลุ่ม โดยกลุ่มใหม่ “ลักชัวรี” ยูนิตละ 15-30 ล้านบาท “พรีเมียม ลักชัวรี” ยูนิตละ 30-50 ล้านบาท ส่วนที่เปิดโครงการไปแล้ว “ซูเปอร์ ลักชัวรี” ยูนิตละ 50-100 ล้านบาท มีโครงการ ศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส ย่านพัฒนาการ 32 ไม่เกิน 30 ยูนิต ยอดพรีเซล 77% ปัจจุบันมียอดโอน 30% และ “อัลตร้า ลักชัวรี” ยูนิตละ 100 ล้านบาท ในชื่อโครงการ สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส
กลุ่มธุรกิจโรงแรม(Hospitality) ภายใต้การบริหารงาน เฮส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท หรือ SHR ตั้งเป้าหมายเติบโต 20% ซึ่งแนวโน้มการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวและไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว ประเมินว่าธุรกิจโรงแรมในไทยจะเติบโต 60% อังกฤษ เติบโต 10% มัลดีฟส์ 30% Mauritius 30% และมีโรงแรมที่ฟิจิ อยู่ระหว่างปรับปรุงใหม่ คาดอัตราเข้าพักโรงแรม 75% และกลุ่มรายได้ธุรกิจโรงแรมจะเติบโต 20% หรือมีรายได้รวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท
พร้อมกันนี้เตรียมเปิดโรงแรมแห่งใหม่ที่มัลดีฟส์ ระดับ 6 ดาว “SO Maldives” จำนวน 80 วิลล่า ราคาห้องพัก 700-1,000 ดอลลาร์ต่อคืน อยู่ในโครงการ ครอสโรดส์ มัลดีฟส์ ก่อสร้างกว่า 50% คาดเปิดสิ้นปี 2566
ในสิ้นปีนี้จะมีโรงแรมภายใต้บริหารรวม 38 แห่ง ห้องพักรวมกว่า 4,000 ห้อง โดยโรงแรมทั้งหมดจะเน้นในโลเคชั่นดี และมีศักยภาพดึงดูดนักท่องเที่ยว ทำให้ขายห้องพักได้ตลอดปี นอกจากนี้ บริษัทยังสนใจขยายธุรกิจโรงแรมเพิ่มในรูปแบบ M&A เตรียมงบลงทุนไว้ที่ 7,500 ล้านบาท เพื่อเข้าซื้อกิจการระหว่างปี 2566-2568
สำหรับธุรกิจอาหารสำนักงาน (Commercial) จะมีอาคารใหม่ เอส โอเอชิส (S-oasis) ย่าน ถ.วิภาวดีรังสิต ขนาด 5.35 หมื่น ตร.ม. มีพื้นที่รีเทล 1,700 ตร.ม. โครงการนี้ที่มุ่งสร้างความยั่งยืนด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม อยู่ในโครงการ S District คาดได้รับความสนใจจากกลุ่มธุรกิจพลังงานและโทรคมนาคม
ส่วนอาคาร 3 แห่ง ซันทาวเวอร์ สิงห์ คอมเพล็กซ์ และ เอส เมโทร ในสิ้นปีคาดอัตราเช่าพื้นที่ 90% ทุกโครงการ พร้อมสร้างรายได้เติบโต 20%
ในกลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน (Industrial estate & Infrastructure) จ.อ่างทอง มีทั้งนิคมอุตสาหกรรมและธุรกิจโรงไฟฟ้า 3 โรง กำลังการผลิตรวมกว่า 400 เมกะวัตต์ คาดเติบโต 200% หรือเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัว
“นิคมอุตสาหกรรมอ่างทอง อยู่ภาคกลาง ใจกลางแหล่งวัตถุดิบที่สำคัญและมีแหล่งน้ำที่สะอาด รองรับการผลิตอาหารแบบกรีนอินดัสเตรียล พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการขยายตลาดสู่ยุโรป เพราะเป็นพื้นที่ใช้พลังงานสะอาด ไม่มีมลพิษ สอดคล้องกับการส่งออกในตลาดยุโรปที่ให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อม ปี 2566 นี้ จะปิดยอดการโอนได้ใกล้เคียง 200 ไร่ จากปีแล้วมีการโอน 77 ไร่”
ชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน กล่าวเสริมว่า "โรงแรมปีนี้เป็นพระเอกแน่นอน ประเทศไทยมาแรงเป็นเดสทิเนชั่นของการท่องเที่ยว อัตราเข้าพักทั้งภูเก็ต พีพี 95% สมุย 90% ราคาที่พักเพิ่ม 2-3 เท่าแล้ว มีรายได้ไตรมาสละกว่า 2,000 ล้านบาท มีโอกาสรายได้เข้ามาสม่ำเสมอเหมือนออฟฟิศ ส่วนที่พักอาศัยและนิคมอุตสาหกรรม มีสินค้าพร้อมขาย แต่ทุกอย่างต้องใช้เวลา”
สำหรับ รายได้รวมปี 2566 วางเป้าหมาย 1.67 หมื่นล้านบาท เติบโต 34%
