“ดร.เกษรา" ทีมชัชชาติ เสนอนโยบายกทม. แก้เหลื่อมล้ำการศึกษา ทำพร้อมกัน 3 ส่วน

“ดร.เกษรา" ทีมชัชชาติ เสนอนโยบายกทม. แก้เหลื่อมล้ำการศึกษา ทำพร้อมกัน 3 ส่วน

"ดร.ยุ้ย"เกษรา ทีมชัชชาติ เสนอนโยบายกทม. แก้ปัญหาลดเหลื่อมล้ำทางการศึกษาปัญหาใหญ่ใน ชี้ต้องทำพร้อมกัน 3 ส่วน “ครอบครัว- ชุมชน - โรงเรียน” เล็งผุดศูนย์เนิร์สเซอรรี่ ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ลานกิจกรรม หลักสูตรการเรียนยืดหยุ่น สร้างอาชีพ

เหลือเวลาอีกไม่ถึง 2 เดือน ก็จะถึงวันเข้าคูหา กาบัตร เลือกผู้ว่าฯ กทม. ในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ ที่ชาวกรุงเทพฯ ที่จดจ่อรอคอยมานานถึง 9 ปี

ศึกชิงผู้ว่าฯ เมืองหลวง รอบนี้ ทำสถิติใหม่ ด้วยจำนวนผู้สมัครมากถึง 31 คน แคนดิเดตแต่ละราย โปรไฟล์ไม่ธรรมดา

ขณะที่ ตัวเต็ง อันดับหนึ่งทุกโพล ตั้งแต่ยังไม่เปิดตัวเป็นทางการ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีต รมว.คมนาคม ที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี ที่ลงในนามอิสระ มาพร้อมทีมเพื่อนชัชชาติ จากหลายแวดวง

ในการลงพื้นที่หาเสียงของ ดร.ชัชชาติ มักจะเห็น หนึ่งในทีมคือ รุ่นน้องจุฬาฯ อย่าง ดร.ยุ้ย "ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์” อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัย และกรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) ทีมนโยบายคนสำคัญ ที่พร้อมเข้ามาร่วมขับเคลื่อนการสร้างกรุงเทพฯ ดังสโลแกน “ให้เป็นเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน” 

ดร.ยุ้ย นอกจากจะทำแผนนโยบาย ยังร่วมเดินสายหาเสียงตามชุมชนในกรุงเทพฯ และขึ้นเวทีต่างๆ เพื่อสื่อสาร แจกแจงนโยบายสำคัญของทีม ล่าสุด เป็นตัวแทนทีมชัชชาติ บนเวทีเสวนา “ปลดล็อกกรุงเทพฯ เมืองแห่งความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา” ที่ห้องคอนเวนชั่น ฮอลล์ อาคารบี ไทยพีบีเอส

ข้อมูลบนเวทีจาก “ดร.ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค” กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เปิดข้อเท็จจริงที่น่าตระหนกว่า กรุงเทพฯ เมืองหลวงศูนย์กลางของทุกความทันสมัย กลับเกิดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาสูงที่สุดในประเทศ เป็นเมืองที่ครอบครัวมีรายได้ต่อหัวต่ำที่สุด จนเกิดความเหลื่อมล้ำทำให้เด็กจำนวนมากขาดโอกาสทางการศึกษา

หลังรับฟังข้อมูล จากตัวแทนจากภาคต่างๆ แล้ว ผศ.ดร.เกษรา ระบุว่า รู้สึกมีความหวังที่เรามีภาคประชาชนที่มีจิตใจพร้อมให้ความช่วยเหลือเด็กในชุมชน ซึ่งหากมีคนที่มีจิตวิญญาณความเป็นครูจากภาคประชาชนแบบนี้อยู่ในทุกชุมชนใน กทม. ก็มีความหวังในการแก้ไขปัญหา เพราะตนเองมองว่าความเป็นครูสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ขอเพียงเรามีงบประมาณที่พอเพียง มีภาค กทม.ที่พยามยามจะเข้าใจ และให้ความร่วมมือ โดยไม่ต้องมีเอกสาร หรือ KPI มากมาย เท่านี้ก็เพียงพอที่จะลดความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้แล้ว

ในฐานะที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยมาถึง 20 ปี ผศ.ดร.เกษรา ให้ความเห็นว่า เวลาเราพูดถึงการศึกษา มักจะแปลงร่างกลับมาเป็นเรื่องของโรงเรียน แต่เมื่อฟังบนเวที หรือเราไปลงพื้นที่จริงๆ การพูดถึงการศึกษาของชุมชนแออัด หรือ คนรากหญ้าแล้ว เรื่องการศึกษาไม่เคยจะเกี่ยวข้องกับโรงเรียนอย่างเดียว

ดังนั้นหากจะแก้ไขปัญหาลดการเหลื่อมล้ำทางการศึกษานี้ ทีมชูนโยบายต้องแก้พร้อมกัน 3 อย่าง ได้แก่ ครอบครัว ชุมชน และโรงเรียน

“ดร.เกษรา\" ทีมชัชชาติ เสนอนโยบายกทม. แก้เหลื่อมล้ำการศึกษา ทำพร้อมกัน 3 ส่วน

สำหรับเรื่องที่ 1 เรื่องครอบครัว มองว่าความยากจนเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นการต้องลาออกเพื่อมาเลี้ยงลูก หรือ ออกจากงานเพื่อมาดูแลคนแก่ติดเตียง จะยิ่งทำให้เกิดปัญหา วิธีแก้ คือ เราต้องมีศูนย์เนิร์สเซอรรี่ที่ดี เป็นศูนย์เด็กแรกเกิด และทำศูนย์ดูแลผู้สูงอายุในชุมชน เพื่อทำให้เมืองมีต้นทุนที่น้อยลง ครอบครัวมีกำลังออกไปทำงานมากขึ้น ฟังดูอาจรู้สึกว่าเป็นนโยบายเศรษฐกิจมากกว่า แต่จริงๆ แล้วมันเกี่ยวกันเสมอ สำหรับคนยากไร้

เรื่องที่ 2 ชุมชน ชุมชนคือสิ่งแวดล้อม คือโลกของเด็ก เราต้องมีสถานที่สำหรับเล่นกีฬา ทำกิจกรรมไม่ต้องไปอยู่ในที่เล็กๆ หรือเจอแต่สังคมเดิมๆ

 “ยิ่งตอนโควิดนี้ชุมชนคือ โลกของเขาเลย แต่ถ้าตื่นมาก็เจอเด็กวัยรุ่นที่เป็นรุ่นพี่ติดกำไลข้อเท้า เพิ่งพ้นคุกมา ถ้าโลกเขาเป็นแบบนั้นก็จะโตมาแบบนั้น แล้วบ้านของคนในชุมชนแออัดไม่ใช่ 400 ตารางวา แต่กว้างเพียง 18 ตารางเมตร แสดงว่าเด็กต้องออกมาข้างนอก แล้วถ้าข้างนอกไม่มีห้องสมุดดีๆ หรือ ศูนย์กีฬาให้ไปเล่น เขาก็จะนั่งคุยกันเองในที่เล็กๆ แล้วก็เล่นเกม ดังนั้นสิ่งที่เราอยากจะทำต่อ คือ ชุมชนก็ต้องแก้ไขด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราควรทำได้เลย” ผศ.ดร.เกษรา ระบุ

เรื่องที่ 3 คือ โรงเรียน ที่ไม่ควรมีจุดหมายแค่จุดเดียว คือ การเอ็นทรานซ์ เราไม่ปฏิเสธว่าเด็กจะมีอาชีพที่ดีเชิดหน้าชูตาต้องจบมหาวิทยาลัยของรัฐ เพราะมันเป็นวัฒนธรรมสังคมเรา แต่เราต้องมีทางออกอื่นให้คนที่หล่นไปจากระบบด้วย

ดังนั้นหลักสูตรในโรงเรียนต้องยืดหยุ่น พร้อมกันนั้นก็สร้างค่านิยมให้พ่อแม่ หรือ เด็ก ไม่รู้สึกอับอายที่ไม่จบ ม.6 หรือ มหาวิทยาลัย เราไม่ได้ต้องการปริญญาตรีเท่านั้น เราต้องการประชากรในกรุงเทพฯ ที่มีอาชีพที่ตนเองคิดว่าสามารถทำงานเลี้ยงครอบครัวได้ และมีความสุขกับการทำงาน ดังนั้นสิ่งที่เราควรต้องแก้ คือ สร้างทางเลือก

 “โรงเรียนในกรุงเทพ 400 กว่าโรงเรียน แต่มี 71 โรงเรียนเท่านั้นที่สอน 2 ภาษา ทั้งที่กรุงเทพฯ นี้เป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับ 1 ของโลก แสดงว่าเซกเตอร์การท่องเที่ยวเรายาวมาก แต่เด็กที่ผลิตใน กทม. ไม่รู้ภาษาอังกฤษเท่าไหร่ โจทย์เราคือ ทำยังไงให้เด็กทุกคนสามารถมีอาชีพที่ดี และ เลี้ยงดูตัวเองได้ และไม่หล่นไประหว่างทาง หรือ ไม่ก็ไม่ยอมแพ้ระหว่างทาง“ ดร.เกษรา ระบุ

ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในสังคมเมืองหลวง จึงเป็นส่วนสำคัญของนโยบายของทีมชัชชาติ ที่มีแผนพร้อมจะบริหารเมืองหลวงที่ยังมีปัญหาเส้นความยากจนต่ำ แรงงานขาดทักษะ ด้วยการมุ่งเน้นพัฒนคุณภาพชีวิตคนในชุมชนเมือง ที่กำลังมุ่งไปสู่สมาร์ทซิตี้