ผ่าปัจจัยชี้ชะตา"ศึกหลักสี่" ฐานเสียง-กระแส-กระสุน-จุดยืนการเมือง

ผ่าปัจจัยชี้ชะตา"ศึกหลักสี่" ฐานเสียง-กระแส-กระสุน-จุดยืนการเมือง ผู้สมัครเลือกซ่อม กทม. จับตาทีมหนุน-นิวโหวตเตอร์ เทคะแนน
บรรยากาศจับเบอร์ผู้สมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม. เขต 9 คึกคักราวกับเลือกตั้งใหญ่ ผู้สมัคร-กองเชียร์ แต่ละพรรคพกความมั่นใจลงสู้ศึกเลือกตั้งซ่อม นับถอยหลังจากวันนี้ เหลือเวลาอีกเพียง 24 วัน ที่ผู้สมัครจะมีเวลาหาเสียง ก่อนเข้าคูหากาบัตรในวันที่ 30 ม.ค.นี้
สนามเลือกตั้ง ส.ส.กทม. เขตเลือกตั้งที่ 9 กินพื้นที่ 2 เขตคือ เขตหลักสี่ ได้แก่ แขวงทุ่งสองห้อง และแขวงตลาดบางเขน และเขตจตุจักร เฉพาะ 3 แขวง ได้แก่ แขวงลาดยาว แขวงเสนานิคม และแขวงจันทรเกษม (ยกเว้นแขวงจตุจักร และแขวงจอมพล) มีหน่วยเลือกตั้ง 438 หน่วย มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 170,764 คน
ผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ปี 2562 อันดับ 1 สิระ เจนจาคะ พลังประชารัฐ 34,907 คะแนน อันดับ 2 สุรชาติ เทียนทอง เพื่อไทย 32,115 คะแนน อันดับ 3 กฤษณุชา สรรเสริญ อนาคตใหม่ 25,735 คะแนน อันดับ 4 พล.ต.ต. วิชัย สังข์ประไพ ประชาธิปัตย์ 16,255 คะแนน อันดับ 5 ศักดิ์ภัทร์ สวามิวัสดุ์ เศรษฐกิจใหม่ 5,873 คะแนน
เลือกซ่อมรอบนี้ ได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะจะเป็นการวัดคะแนนนิยมของแต่ละพรรคการเมืองไปในตัวด้วย หากผู้สมัครของพรรคใดได้สามารถคว้าชัยได้ มีโอกาสที่จะนำความสำเร็จต่อยอดไปยังการเลือกตั้งใหญ่ในสนาม กทม.ได้
นอกจากนี้ ยังเป็นสนามประลองก่อนจะมีการเลือกตั้ง “ผู้ว่าฯกทม.คนใหม่” ที่คาดการณ์ว่าจะมีขึ้นอย่างช้าที่สุดไม่เกินกลางปีนี้ ดังนั้นหากผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตหลักสี่ ของพรรคใดกำชัยชนะไปได้ กระแสความนิยมผู้สมัคร “ผู้ว่าฯกทม.” ของพรรคการเมืองมีโอกาสพุ่งตามไปด้วย
“กรุงเทพธุรกิจ” ผ่าปัจจัยทางการเมืองต่างๆ ที่จะเป็นตัวแปรสำคัญของ “ผู้สมัคร” แต่ละพรรค เป็นข้อได้เปรียบเสียเปรียบ ประกอบด้วย ฐานเสียงของผู้สมัครทั้งรุ่นเก่าและนิวโหวตเตอร์ กระแสความนิยมของพรรคต้นสังกัด กระสุนหรือทุนหาเสียงทำกิจกรรมช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งจุดยืนทางการเมืองที่เลี่ยงไม่พ้นเรื่องแบ่งเป็นสองขั้ว หรือแม้แต่แรงส่งอย่างอำนาจรัฐ
เบอร์ 1 "พันธุ์เทพ ฉัตรนะรัชต์" พรรคไทยภักดี อายุ 43 ปี ถือเป็นสนามเลือกตั้งครั้งแรกของพรรคไทยภักดี ที่นำโดย “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี แม้จะมีจุดอ่อนเรื่องฐานเสียงในพื้นที่แทบไม่มี เพราะ “หมอวรงค์-พันธุ์เทพ” ไม่ได้ทำพื้นที่เอาไว้ตั้งแต่ต้น แต่ได้ชูจุดแข็งของแนวทางพรรค และกระแสหัวหน้าพรรคขึ้นมาสู้
ไทยภักดี ใช้แคมเปญ “ไม่กุ๊ย ไม่กร่าง ไม่โกง” โดยหมอวรงค์ ขยายความว่าที่ผ่านมา ประชาชนเห็นว่านักการเมืองในสภาบางส่วน "กุ๊ย กร่าง โกง ชังชาติ จาบจ้วง" จึงต้องการทำงานการเมืองที่ไม่ใช้เงินซื้อเสียงเพราะเราไม่มีตังค์ และจะใช้อุดมการณ์ปราบโกงและการปฏิวัติสังคมให้ดีขึ้นเป็นตัวนำ พรรคเชื่อว่าความเหลื่อมล้ำในสังคมเกิดจากนักการเมือง ไม่เกี่ยวอะไรกับสถาบันฯ ตามที่บางพรรคการเมืองปลุกระดมคนรุ่นใหม่"
โดยสนามเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ “หมอวรงค์-ไทยภักดี” ไม่คาดหวังว่าจะชนะการเลือกตั้ง แต่ต้องการวัดความนิยมของพรรค ซึ่งมีจุดยืนชัดเจนเกี่ยวกับการปกป้องสถาบันฯ การปราบทุจริต “การเลือกตั้งหนนี้ ไม่ว่าจะหนึ่งเสียงของรัฐบาลหรือฝ่ายค้านไม่มีความหมาย แต่หนึ่งเสียงของไทยภักดีมีความหมาย เพราะจะสะท้อนว่าสังคมตอบรับในอุดมการณ์แบบเราหรือไม่ และมีพรรคไหนบ้างที่ประกาศปราบโกง”
เบอร์ 2 อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี พรรคกล้า อายุ 43 ปี อดีต ส.ส.กทม.2 สมัย ปี 2550 และ 2554 แม้พรรคกล้าจะผ่านสนามเลือกตั้งซ่อม จ.นครศรีธรรมราช มาแล้ว และส่งผู้สมัครชิงเก้าอี้เลือกตั้งซ่อม จ.สงขลา และจ.ชุมพร แต่โอกาสชนะมีน้อย แต่กับสนามเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม. เขตหลักสี่ พรรคกล้าหวังชัยชนะการเลือกตั้งมากกว่าสนามอื่น
“กรณ์ จาติกวณิช” หัวหน้าพรรคกล้า จึงเลือกทิ้งไพ่เบอร์ใหญ่ ส่ง “อรรถวิชช์” เลขาธิการพรรคกล้า ลงชิงเก้าอี้ ซึ่งเมื่อปี 2554 “อรรถวิชช์” ภายใต้ชายคาพรรคประชาธิปัตย์ เคยชนะการเลือกตั้ง ส.ส.เขตจตุจักร โดยได้ 42,352 คะแนน แต่การเลือกตั้งปี 2562 เขตจตุจักร ถูกผ่าเป็นสองซีก ทำให้ “อรรถวิชช์”ที่ลงสมัครเขตจตุจักร-พญาไท-ราชเทวี ต้องพ่ายเลือกตั้งแบบไม่เห็นฝุ่น
การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ ถือเป็นไฟท์แก้มือของ “อรรถวิชช์” ว่ากันว่าคะแนนของ “สกลธี ภัททิยกุล” ในการเลือกตั้งปี 2554 ที่ได้ 25,704 คะแนน ได้ถูกถ่ายเทมาให้ “สิระ เจนจาคะ” พรรคพลังประชารัฐ ในการเลือกตั้งปี 2562 และครั้งนี้ จะโยกมาสนับสนุน “อรรถวิชช์” แทน พร้อมทั้งคะแนนของ “ผู้การแต้ม” พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ อีก 16,255 คะแนน ก็จะเทมายัง “อรรถวิชช์” เช่นกัน หลังพรรคประชาธิปัตย์หลีกทางให้พลังประชารัฐ โดยมีมติไม่ส่งผู้สมัคร
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าคะแนนตัวเลขกลมๆ ที่หวังจะโยกมาเติมให้ “อรรถวิชช์” อาจเก็บไม่ได้ทุกแต้ม เพราะอารมณ์ของคน กทม.ยากจะคาดเดา แถมกระแสของ “พรรคกล้า” ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าโดนใจคน กทม.หรือไม่
ขณะที่อีกมุมหนึ่ง ก็ถือเป็นเดิมพันของทั้งหัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรค ที่เป็นอดีต ส.ส.กทม. และถือเป็นครั้งแรกที่พรรคกล้ามีโอกาสทดสอบกระแสในกทม. โดยใช้แคมเปญ “สร้างสรรค์ การเมืองคุณภาพ”
เบอร์ 3 สุรชาติ เทียนทอง พรรคเพื่อไทย อายุ 42 ปี อดีตส.ส.กทม.1 สมัย ถือเป็นเจ้าของพื้นที่เขตหลักสี่มาอย่างยาวนาน แม้การเลือกตั้งปี 2562 จะแพ้ให้กับ “สิระ” แต่คะแนนของ “สุรชาติ” ที่ได้ 32,115 คะแนน ถือว่าสูงมาก โดยก่อนหน้านี้ในปี 2554 “สุรชาติ” ชนะการเลือกตั้งโดยได้ มา 28,376 คะแนน
จุดแข็งของ “สุรชาติ” อยู่ที่ฐานเสียงชาวเขตหลักสี่ เนื่องจากฝังตัวอยู่ในพื้นที่มาอย่างยาวนาน และลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง แต่กระแสของพรรคเพื่อไทยไม่เปรี้ยงปร้างเท่า “พรรคก้าวไกล” ที่จะมาเป็นคู่แข่งตัวตัดแต้มของ “สุรชาติ”
เมื่อแต้มการเมืองส่วนตัวของ “สุรชาติ” ไม่มีปัญหา โจทย์ใหญ่จึงอยู่ที่พรรคเพื่อไทย จะงัดไม้เด็ดมาชิงกระแสกับพรรคก้าวไกลในช่วงโค้งสุดท้ายได้มากน้อยเพียงใด
แคมเปญครั้งนี้ ทั้งสุรชาติและเพื่อไทยได้ประกาศ “ทวงคืนศักดิ์ศรีของชาวหลักสี่-จตุจักรกลับคืนมา” เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ความล้มเหลวของรัฐบาล และ ส.ส.รัฐบาล
เบอร์ 4 กุลรัตน์ กลิ่นดี พรรคยุทธศาสตร์ชาติ อายุ 36 ปี นักธุรกิจ แม้จะยังไม่มีโปรไฟล์การเมือง แต่ถือว่าเป็นการเปิดตัวทางการเมืองในสนามที่มีความท้าทายยิ่ง
เบอร์ 5 รุ่งโรจน์ อิบรอฮีม พรรคไทยศรีวิไลย์ อายุ 42 ปี อดีตผู้สมัคร ส.ส. เขตนี้ของพรรคประชาธรรมไทย ที่ย้ายค่าย กระแสพรรคมีแน่นอน เพราะยี่ห้อ “พี่เต้” มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ อยู่ในกระแสเกือบทุกเหตุการณ์ คะแนนจากขาโจ๋หลักสี่ยังพอเจียดมาได้บ้าง แต่จะถึงขั้นแลนด์สไลด์ชนะการเลือกตั้งอาจจะเหนื่อยมากเป็นพิเศษ
เบอร์ 6 กรุณพล เทียนสุวรรณ พรรคก้าวไกล อายุ 45 ปี นักแสดง ถือเป็นครั้งแรกที่ก้าวไกลจะมีโอกาสหยั่งเสียงคนเมืองภายใต้การนำของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก่อนที่พรรคจะเปิดตัวแคนดิเดตชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. ในวันที่ 23 ม.ค.
ครั้งนี้ ก้าวไกลเข้าสู่สนามเลือกตั้งซ่อมด้วยแคมเปญ “ไม่เป็นกลาง ยืนข้างประชาชน” โดยโยก “เพชร กรุณพล” ที่ซุ่มทำพื้นที่เขตอื่นใน กทม.มาชิมลาง
แม้ “เพชร กรุณพล” จะไม่มีประสบการณ์มาก่อน แต่กระแสที่ติดตัวมาตั้งแต่ปรากฎการณ์ คอลเอาต์ (Call Out) วิจารณ์การแก้ปัญหาโควิด-19 ของรัฐบาล ทำให้แฟนคลับในโซเชียลมีเดียรู้จักเขาเป็นอย่างดี จึงเป็นภาพสะท้อนแคมเปญได้อย่างชัดเจน เมื่อผนวกกับกระแสของพรรคก้าวไกลที่อยู่ในแดนบวกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ชื่อของ “เพชร กรุณพล” จึงเป็นหนึ่งในตัวเต็งที่ไม่อาจมองข้ามได้
แถมยังมีแรงหนุนจาก “คณะก้าวหน้า” ซึ่งต้องจับตาว่า “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” และ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” จะงัดกลยุทธใดมาช่วยเติมคะแนนให้ “กรุณพล” ซึ่งต้องรอจับตาว่า “คณะก้าวหน้า” จะคิดอีเวนท์ลงพื้นที่ให้เขตหลักสี่ ไม่ให้กระทบต่อ “กรุณพล-ก้าวไกล” ในรูปแบบใด
เบอร์ 7 สรัลรัศมิ์ เจนจาคะ พรรคพลังประชารัฐ วัย 50 ปี นักธุรกิจ โดย “สิระ เจนจาคะ” สามีพยายามเท 34,907 คะแนนมาให้ “สรัลรัศมิ์” ภรรยา ที่มารับไม้ต่อ ด้วยแคมเปญ “ขอโอกาสสานงานต่อ” โดยย้ำว่าสรัลรัศมิ์ไม่ใช่คนหน้าใหม่ เพราะทำงานเคียงข้างประชาชนมาตลอด ชาวหลักสี่ก็ไม่น่าจะไปลองของใหม่ พร้อมทั้งการันตีหนักแน่นว่า หากภรรยาได้เข้าสภาจะเป็น “องครักษ์พิทักษ์ลุงตู่ได้อย่างแน่นอน” แต่ทั้งคู่จะเก็บได้ทุกแต้มหรือไม่ เป็นโจทย์ที่ต้องตีให้แตก
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในช่วงที่ “สิระ” อยู่ในตำแหน่ง ส.ส. มีหลายผลงานที่โดนใจชาวหลักสี่ไม่น้อย ส่วนจะแปรเปลี่ยนเป็นคะแนนเสียงได้มากน้อยเพียงใด ยังต้องลุ้น
ประกาศิตของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ส่งเสียงคำรามเลือกตั้งซ่อมห้ามแพ้เด็ดขาด ทำให้พรรคพลังประชารัฐต้องระดมทุกองคาพยพมาช่วย “สรัลรัศมิ์”
โดยกลไกรัฐอาจจะถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งในการเก็บแต้มให้ “สรัลรัศมิ์” เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าการเลือกตั้งซ่อมเหตุหนึ่งที่พรรคพลังประชารัฐคว้าชัยเรียบมาจากกลไกรัฐที่เกื้อหนุน
สนามเลือกตั้งซ่อมใน กทม.รอบนี้ แม้ “ผู้สมัคร” จะงัดกลยุทธ-ไม้เด็ดมาสู้มาหาเสียง แต่ต้องยอมรับว่าตั้งแต่มี “ม็อบสามนิ้ว” เทรนด์การเมืองไทย ได้เปลี่ยนโฉมไปมาก กระแสของ “ขั้วประชาธิปไตย” ยังติดลมบนอยู่พอตัว ดังนั้นจุดยืนเกี่ยวกับประชาธิปไตยของแต่ละพรรคการเมืองจึงสำคัญไม่น้อยเช่นกัน
หากพรรคการเมืองใดมีจุดยืน “ขั้วประชาธิปไตย” อย่างชัดเจน มีโอกาสที่จะเก็บแต้มจาก “นิวโหวตเตอร์” สูงลิบ แถมยังมีโหวตเตอร์เก่าๆ ที่ถวิลหา “ขั้วประชาธิปไตย” เพิ่มขึ้นอีกด้วย
ทั้งหมด คือปัจจัยที่จะคว้าชัยเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม. เขตหลักสี่ ของแต่ละพรรคการเมือง ที่จะต้องสู้กันอีกหลายยก จนกว่าจะถึงวันที่ 30 ม.ค. ที่จะชี้ชะตาอนาคตทางการเมืองของ “ผู้สมัคร” แต่ละคน







