ลับลวงพราง สกัด“พีระพันธุ์” ศึกรอบใหม่ท้าทาย“ประยุทธ์”

ลับลวงพราง สกัด“พีระพันธุ์” ศึกรอบใหม่ท้าทาย“ประยุทธ์”

ท่าทีของ “สิระ” ที่ค่อนข้างแข็งกร้าว ชกข้ามเบอร์ หลายฝ่ายจึงจับจ้องไปที่ “ร.อ.ธรรมนัส” ผู้ที่อยู่คนละฝั่งกับ “พล.อ.ประยุทธ์” เนื่องจาก “พีระพันธุ์” มีหัวโขนเป็นที่ปรึกษานายกฯ และถูกมองว่า “พล.อ.ประยุทธ์” ส่งเข้ามาทำงานเก็บกวาดพรรคพปชร.

บรรยากาศภายในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เสมือนสงครามเย็น ทุกกลุ่มการเมือง-ทุกก๊วนการเมือง ซุ่มเงียบอยู่ในที่ตั้ง ไม่มีการเคลื่อนเกมออกมากดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในพรรค ไม่มีแรงกดดันไปยัง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม ให้ปรับครม.

แต่ภายหลังที่ “มิสเตอร์พี” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี สมัครสมาชิกพรรคพปชร. ต่อด้วย “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรค พปชร. ตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพรรค พปชร. คลื่นลมในพรรคจึงเริ่มก่อตัวอีกครั้ง

เนื่องจาก “บิ๊กเนมพปชร.บางคน" ที่ใกล้ชิดกับ “พล.อ.ประวิตร” อยู่ในอาการหวาดระแวงว่า “พีระพันธุ์” จะเข้ามาชิงสมบัติที่หวงแหน แถมมีข่าวโจมตีพุ่งตรงไปที่พีระพันธุ์ว่าเป็น “สายตรงลุงตู่” ยิ่งทำให้ “บิ๊กเนมพปชร.” ไม่ไว้ใจพีระพันธุ์

ตามคิวที่ผู้มีอำนาจพยายามจะกดดันให้ “ผู้กองมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ออกจากเลขาธิการพรรค ไม่ใช่เรื่องลับอะไร คนในพรรคพปชร.รู้ดี คนใกล้ชิด “ร.อ.ธรรมนัส” บางกลุ่มจึงเตรียมหาทางหนีทีไล่ไว้แล้ว

2 สัปดาห์มานี้ จึงเห็นภาพ “ร.อ.ธรรมนัส” ในฐานะส.ส.พะเยา ในนามจิตอาสา ไม่มีหัวโขนออกเดินสายให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย ทั้งที่อยุธยา และลพบุรี รวมถึงล่าสุดไปทำอาหารแจกชาวชุมชนแออัดแถวบางเขน

เดิมที “ร.อ.ธรรมนัส” วางแผนจัดสัมมนาพรรคในช่วงเดือนตุลาคมนี้ แต่ “พล.อ.ประวิตร” สั่งเลื่อนการประชุมพรรคออกไป เพื่อให้ ส.ส.ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน ช่วงปิดสมัยประชุม

ตรงกันข้ามกับ “สิระ เจนจาคะ” ส.ส.กทม. ที่รับบทหัวหมู่ทะลวงฟัน ออกมาให้สัมภาษณ์ทำนองเกทับบลั๊ฟแหลก “พีระพันธุ์” พุ่งเป้าไปงับข่าวปล่อยจาก “แกนนำพปชร.บางคน” ที่เปิดประเด็น “พีระพันธุ์” จะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพปชร.

ท่าทีของ “สิระ” ที่ค่อนข้างแข็งกร้าว ชกข้ามเบอร์ หลายฝ่ายจึงจับจ้องไปที่ “ร.อ.ธรรมนัส” ผู้ที่อยู่คนละฝั่งกับ “พล.อ.ประยุทธ์” เนื่องจาก “พีระพันธุ์” มีหัวโขนเป็นที่ปรึกษานายกฯ และถูกมองว่า “พล.อ.ประยุทธ์” ส่งเข้ามาทำงานเก็บกวาดพรรคพปชร.

อีกคนที่ถูกเพ่งเล็งชื่อ “วิรัช รัตนเศรษฐ” ประธานวิปรัฐบาล เพราะถือเป็นที่เคารพนับถือของ “สิระ” จนมีกระแสข่าวมาตลอดว่า “สิระ” ที่เสมือนมวยวัด ไม่มีชั้นไม่มีเชิง “ผู้ใหญ่ที่นับถือ”เขียนสคริปต์ให้อย่างไรก็ให้ข่าวอย่างนั้น

การที่สิระออกมากล่าวเสียดเย้ยพีระพันธุ์ ไม่ว่าเรื่องการปฏิรูปพรรค หรือแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ย่อมมีนัยทางการเมืองเรื่องสงครามเย็นในพลังประชารัฐ

ที่ซับซ้อนไปกว่านั้น “สิระ” หยิบเอาเรื่อง “พีระพันธุ์” เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี มาจากสเตตัสเฟซบุ๊คของ “ไพศาล พืชมงคล” นำไปขยี้ต่อหน้าสื่อ

หากจำกันได้ “สิระ” ได้เปิดศึกวิวาทะกับ “พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล” เพื่อนรักนายกฯประยุทธ์ กรณีที่ประกาศลาออกจาก พปชร. และถ้าใครเป็นเอฟซีไพศาล พืชมงคล อดีตมือทำงานบิ๊กป้อม ย่อมทราบดีว่า พักหลังไพศาลเชียร์ “ธรรมนัส” อย่างออกหน้าออกตา

อย่างวันที่ “ธรรมนัส” ไปลอยคอน้ำท่วมที่อยุธยา ถึงกับขึ้นสเตตัส “จะลบรอยคราบน้ำตาประชาราษฎร์” ยกย่องการทำงานแบบปิดทองหลังพระของ ส.ส.พะเยา วันถัดมา ไพศาลโพสต์เฟซบุ๊คว่า “ลุงป้อมยังคงให้ธรรมนัสซุ่มออกช่วยน้ำท่วม โดยใช้กลยุทธ์ 3 ไม่ คือ ไม่เกณฑ์ข้าราชการไปแห่ ไม่เกณฑ์ประชาชนไปต้อนรับ และไม่เบียดเบียนใช้งบท้องที่ให้เดือดร้อนข้าราชการ”

อ่านแค่นี้ก็รู้ว่า “ไพศาล” ต้องการกระทบชิ่งไปถึงใคร และคอลัมนิสต์การเมืองหลายคนก็นำภาพ “ร.อ.ธรรมนัส” ติดดินไปเปรียบเทียบกับขบวนนายกรัฐมนตรีลงตรวจพื้นที่

ตรงกันข้าม “ไพศาล” ไม่พูดถึงขบวนลุงป้อม ที่ขน ส.ส.ข้ามภาคเกือบ 30 คน รวมถึงกองทัพข้าราชการไปตรวจราชการที่นครราชสีมา

จู่ๆ วันอาทิตย์ที่ 10 ต.ค.2564 ไพศาลวิเคราะห์การเมืองผ่านเฟซบุ๊ค Paisal Puechmongkol โดยเปิดประเด็น “จับตา พปชร. เสนอชื่อนายก 3 คน” และหนึ่งในนั้นคือ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ไพศาลหยิบการให้สัมภาษณ์สื่อของพีระพันธุ์มาขยายต่อ โดยชี้เป้าว่า จะมีการเสนอชื่อพีระพันธุ์ เป็นนายกรัฐมนตรีของ พปชร.”

เช้าวันจันทร์ที่ 11 ต.ค.2564 “สิระ” ก็หยิบเอาบทวิเคราะห์เรื่องแคนดิเดตนายกฯ ของไพศาล พืชมงคล มาเล่นงานพีระพันธุ์แบบไม่ให้ค่า ไม่ให้ราคา

เหตุใด “สิระ” จึงให้ความสำคัญกับบทวิเคราะห์ของไพศาลมากนัก เมื่อ พล.อ.ประวิตร หัวหน้าพรรคก็ยังไม่พูดเรื่องนี้เลย หากสิระไม่ได้มีเป้าหมายจะเตะตัดขาใครบางคน

เกมนี้เหมือน “ไพศาล” เป็นตัวชง แล้ว “สิระ” เป็นคนตบ ถือว่าเป็นงานรับน้องที่ไม่ธรรมดา และตอกย้ำความขัดแย้งใน พปชร. เหมือนไฟสุมขอนที่คุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา