“ประยุทธ์” ขี่ พปชร. ไปต่อ "พรรค 3 ป." ห้ามใครยึด

กลิ่นเลือกตั้งโชยมาแรงในช่วงนี้ที่กำลังนับถอยหลัง อายุรัฐบาลเหลืออีกประมาณปีเศษนับว่าระยะเวลาจากนี้จนถึงกำหนดครบเทอม 4 ปี ไม่ใช่เวลาที่มากหรือน้อยไปสำหรับการเตรียมตัว

หลายพรรคการเมืองในซีกรัฐบาล ขยับคัดตัว เปิดตัวผู้สมัคร วางยุทธศาสตร์ ขยันลงพื้นที่ตุนคะแนนเสียง รวมถึงความขัดแย้งระหว่างคนในรัฐบาลกันเอง โดยเฉพาะความไม่ลงรอยกันในพลังประชารัฐ

ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณว่า การเลือกตั้งเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ นับตั้งแต่ พ.ย.นี้ เป็นต้นไป ซึ่งสมัยประชุมสภาจะเปิดขึ้นอีกครั้ง กฎหมายสำคัญหลายฉบับของรัฐบาล เรียงหน้าเข้าสู่สภาเพื่อลงมติ

ตรงนี้ถือเป็นตัวชี้ชะตารัฐบาลว่าจะอยู่หรือไป เมื่อความขัดแย้งระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ยังไม่เห็นบทสรุปว่าเป็นอย่างไร

อาจได้เห็นเกมวัดพลังในสภากันอีกหลายยก ร.อ.ธรรมนัส ที่คุมเสียงส.ส.ในมือระดับหนึ่ง ถือว่ามีพาวเวอร์พอที่จะล้มกระดาน ถ้าคิดจะทำ หากเงื่อนไขที่ใช้ต่อรองในเกมอำนาจไม่ได้ผล คงได้เห็นการล็อบบี้ ส.ส.ไม่โหวตผ่านกฎหมายสำคัญ กดดันให้นายกฯ ยุบสภา หรือลาออก เพื่อล้างไพ่ เลือกตั้งใหม่

การมีอยู่ของ ร.อ.ธรรมนัสในพลังประชารัฐ เป็นโจทย์ใหญ่ให้คนชื่อประยุทธ์ต้องขบคิด แก้สมการให้ออก

แกนนำบางกลุ่มในพลังประชารัฐยอมรับว่า การมีอยู่ของร.อ.ธรรมนัส ยิ่งทำให้พรรคเดินหน้าต่อลำบาก เพราะมีอีกกลุ่มไม่เอาด้วย ต่างก็จับตากันว่า เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม คงได้เห็นยุทธการเด็ดปีก ร.อ.ธรรมนัส ตามมา

มีการมองข้ามช็อตไปแล้วว่า ถึงอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กับพรรคพลังประชารัฐ ก็ยังต้องโอบอุ้มซึ่งกันและกันต่อไป สัญญาณหนึ่งที่ชัดเจนระหว่าง นายกฯ ลงพื้นที่ตรวจน้ำสุโขทัย มีบางจังหวะที่ได้พูดคุยกับ “ไผ่ ลิกค์” ส.ส.กำแพงเพชร น้องเลิฟ ร.อ.ธรรมนัส ในทำนอง ข่มขวัญ เล่นจิตวิทยา ด้วยการหล่นคำพูดบางประโยคทีเล่นทีจริงว่า “อย่าคิดว่าตัวใหญ่แล้วผมจะกลัวนะ”

อีกครั้งกับการลงพื้นที่ตรวจน้ำท่วม ชัยภูมิ นายกฯ มีจังหวะข่มขวัญ “วิรัช รัตนเศรษฐ” ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะประธานวิปรัฐบาล จนทำเอาอึ้งไปเลยทีเดียว กับคำพูดทำนองว่า "ผมเป็นคนตั้งชื่อพรรคพลังประชารัฐ และถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ก็รักผูกพันกับส.ส. ผมไม่ทิ้งพรรคหรอก อย่าคิดมาไล่ หรือยึดพรรคเลย" !!!

การส่งสัญญาณของพล.อ.ประยุทธ์ถึง 2 ขาใหญ่พลังประชารัฐ ทั้ง “วิรัช-ไผ่” ที่อยู่ในขบวนการล้มกระดานรัฐบาล หวังกำราบให้เปลี่ยนความคิด เลิกเหิมเกริม วัดพลังต่อรองเสียที

นอกจากนั้น สัญญาณสำคัญอีกอย่าง คือการปรากฎชื่อ "พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค" ที่ปรึกษานายกฯ ที่เตรียมเปิดตัวกับพลังประชารัฐ นับว่าเป็นสายตรง พล.อ.ประยุทธ์ และเป็นคนที่พล.อ.ประวิตร เปิดไฟเขียวมาตั้งนานแล้ว

ทว่าก่อนหน้านี้ พีระพันธุ์ ติดภารกิจบางอย่างที่ยังเคลียร์ไม่ลุล่วง แถมยังเจอแรงต้านของทุกกลุ่มในพลังประชารัฐ กลัวว่าจะเข้ามาแย่งโควตารัฐมนตรี

ไม่เว้นแม้แต่ “กลุ่มสามมิตร” ที่คิดอย่างเดียว คืออยู่กับผู้ชนะ ทั้งที่ออกตัวหนุน “ประยุทธ์” แต่ขาอีกข้างก็ขวาง “พีระพันธุ์” ไม่ให้เข้ามาในพรรคด้วยเช่นเดียวกัน

ที่ผ่านมา มีความพยายามจากหลายกลุ่มต้องการยึดพลังประชารัฐไว้ในมือ แต่มีเพียงบางคนในพรรคเท่านั้นที่รู้ดีว่า 3 ป. คือเจ้าของพรรคตัวจริง แผนการเหล่านั้นจึงไม่เคยสำเร็จ บางคนยิ่งฮึดสู้ ยิ่งไม่มีที่อยู่ที่ยืน แบบที่มีบทเรียนให้เห็นในอดีต

ในเมื่อมีพรรคที่เปรียบเหมือนบ้านสร้างเสร็จ ตกแต่งเรียบร้อย มีสมาชิกอยู่กันพร้อมหน้า อาจจะมีปัญหาขัดแย้งภายใน มีคนอยากจะใหญ่ในบ้านก็เป็นธรรมดา

ใครที่เป็นตัวปัญหา เจ้าของบ้านตัวจริงก็น่าจะจัดการให้พ้นทาง วิธีนี้ง่ายกว่าการยอมเดินออกมาเอง แล้วไปสร้างบ้านหลังใหม่ ปล่อยให้คนมาทีหลัง ยึดบ้านไปใช้ อยู่กินสบายๆ

เพราะต้นทุนต่างๆ ได้ลงไปมหาศาลกับพลังประชารัฐ การจะทิ้งหม้อข้าว แล้วไปเสี่ยงนับหนึ่งใหม่อาจไม่ทันการณ์ โดยเฉพาะพรรค“ปลัดฉิ่ง” ฉัตรชัย พรหมเลิศ ที่ต่างถูกนักเลือกตั้งในพลังประชารัฐ แทบทุกกลุ่มปรามาสอย่างหนัก ถึงตั้งพรรคได้จริง มีทุนเต็มหน้าตัก ก็ใช่จะเดินบนเส้นทางสายนี้ง่ายเหมือนที่คิด

ดังนั้น เมื่อดูหลายๆ ปัจจัยรวมกัน จึงเป็นไปได้สูงที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะอยู่กับพลังประชารัฐต่อไปในการเลือกตั้งครั้งหน้า เพราะไม่มีเหตุใดหนักหนาสาหัส ที่เจ้าของบ้านตัวจริงจะทิ้งสมบัติตัวเองให้คนอื่นต่อยอด เสวยสุข

แม้จะมีทฤษฎีที่ทำให้เชื่อว่า 3 ป. แตกกันยับก็ตาม แต่ก็มีอีกทฤษฎีที่ถูกมองว่า 3 ป. แบ่งบทกันเล่น ตามสูตรทฤษฎีสมคบคิด แบ่งแยกแล้วปกครอง ไม่เช่นนั้นคงคุมนักการเมืองเขี้ยวลากดินสารพัดก๊กให้อยู่ในมือลำบาก