รีเฟอร์บิช “ยุทโธปกรณ์” “เหล่าทัพ” รัดเข็มขัดยุคโควิด
อาจต้องใช้เวลา 3-4 ปี กว่าสถานการณ์ด้านงบประมาณของประเทศจะกลับมาดีขึ้น ก็เป็นเรื่องต้องคิดว่าแต่ละ "เหล่าทัพ" จะเอาตัวรอดจากสถานการณ์ข้างหน้านี้อย่างไร
เริ่มนับถอยหลังเข้าสู่การเปิดประเทศภายใน 120 วัน ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ประกาศไว้เมื่อ 16 มิ.ย. 2564 จนถึงขณะนี้ (4 ต.ค.2564) ผ่านไปแล้ว 110 วัน สถานการณ์ “โควิด-19” เริ่มมีทิศทางที่ดี แม้ยอดผู้ติดเชื้อจะอยู่ในระดับหลักหมื่น แต่ผู้ป่วยที่รักษาหายเพิ่มสูงขึ้น ส่วนผู้เสียชีวิตลดลง เหลือตัวเลขสองหลัก
จากนี้ “รัฐบาล” จะเดินหน้าเต็มสูบในการฟื้นฟูประเทศ พลิกพื้นเศรษฐกิจที่ซบเซามาเกือบ 2 ปีเต็ม ในขณะที่การช่วยเหลือเยียวยาประชาชนผ่านมาตรการต่างๆ ของรัฐก็ยังดำเนินการอยู่ ควบคู่ไปกับการเพิ่มศักยภาพการรักษาพยาบาล ดูแลผู้ติดเชื้อรายวัน และฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ซึ่งหมายถึงการใช้งบประมาณอีกมหาศาล
สัปดาห์ที่ผ่านมา “กองทัพบก” แถลงผลงานครบรอบ 1 ปี ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. ที่ให้การสนับสนุนรัฐบาลและช่วยเหลือประชาชนมาโดยตลอด พร้อมเล็งเห็นถึงข้อจำกัดด้านงบประมาณของประเทศ จึงมีแนวทางยกเลิก หรือ ลดจำนวนโครงการจัดหายุทโธปกรณ์ราคาสูงจากต่างประเทศ และเปลี่ยนมาซ่อมบำรุงยืดอายุใช้งานหลายรายการ
ทั้งการซ่อมดัดแปลงรถยนต์บรรทุกขนาด 2 ตันครึ่ง รุ่น M 35 A2 โดยดัดเแปลงเป็น M 35A21 จำนวน 259 คัน ทดแทนการซื้อใหม่ 169 คัน ราคาซ่อมคิดเป็น 36% ของราคาซื้อใหม่ การซ่อมปรับปรุงรถยนต์บรรทุกยูนิม๊อกซ์ ขนาด 1.1/4 ตัน จำนวน 201 คัน ราคาซ่อมคิดเป็น 24% ของราคาซื้อใหม่
การซ่อมปรับปรุง รถถัง M113 ยืดอายุการใช้งาน โดยดัดแปลงเพิ่ม เปลี่ยนเครื่องยนต์ ปรับปรุงระบบไฟฟ้า ได้ทยอยซ่อมมาทุกปี ตั้งแต่ปี 2555-65 ปีละ 3-10 คัน ซึ่งดำเนินการเสร็จแล้ว 50 คัน รวมถึงสิ่งอุปกรณ์สายพลาธิการ อาทิ จักรเย็บผ้า อุปกรณ์เครื่องสนาม รถยก โดยใช้งบประมาณซ่อมตามแผนประจำปี ทั้งหมดจะมีอายุการใช้งานไม่ต่ำกว่า 10 ปี
พล.อ.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ เสนาธิการทหารบก ในฐานะโฆษกกองทัพบก ระบุว่า กองทัพบกสนับสนุนรัฐบาลและช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 โดยท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติที่เกิดขึ้นนั้นกองทัพบกยังคงดำเนินพัฒนาองค์กร ตามแผนพัฒนากองทัพบก เพื่อให้เป็นหน่วยเบา ประหยัด มีความคล่องตัว และมีประสิทธิภาพสูง
"จึงมีแนวทางยกเลิกหรือลดจำนวนโครงการจัดหายุทโธปกรณ์ราคาสูงจากต่างประเทศให้มากที่สุด และสนับสนุนการใช้ผลิตภัณฑ์ภายในประเทศมาใช้มากขึ้น ภาพรวมคือเราจะพยายามรักษาสภาพยุทโธปกรณ์ให้ใช้งานได้ดีที่สุด โดยเน้นการซ่อมบำรุงรักษาสิ่งอุปกรณ์นั้นเพื่อใช้งานได้ดีที่สุดและนานที่สุดเพื่อให้ใช้งานได้ แต่หากเราไม่สามารถรักษาได้ก็ซื้อจากต่างประเทศ แต่เป็นจำนวนน้อย"
แม้ “กองทัพบก” จะยกเลิกการจัดหายุทโธปกรณ์จากต่างประเทศหลายรายการ แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อความพร้อมรบ และการปกป้องอธิปไตย เพราะนับตั้งแต่ปี 2549 ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร หรือ รัฐบาลพลเรือน ยุค “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หรือ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ก็ไม่มีรัฐบาลใดเข้ามาแตะงบกองทัพ ทำให้การจัดซื้อจัดหาโครงการต่างๆ เป็นไปตามแผน
ทั้งเฮลิคอปเตอร์ “แบล็กฮอล์ก” ถูกจัดหามาเป็นระยะๆ ตลอดจนเฮลิคอปเตอร์ รุ่นต่างๆ เช่น MI-17 ที่จัดหาเข้ามาต่อเนื่อง รถเกราะ BTR จากยูเครน ยานเกราะลำเลียงพลล้อยาง หรือสไตรเกอร์ จากสหรัฐ รถยานเกราะล้อยางแบบ VN-1 จากจีน VT-4 รถถังจากจีน
เช่นเดียวกัน “กองทัพอากาศ” หากดูตามสมุดปกขาวเผยแพร่แผนพัฒนากองทัพในช่วง 10 ปี จะเห็นได้ว่าในช่วง 1-2 ปี นี้ ต้องดำเนินการจัดหาเครื่องบินรบหลักทดแทนฝูง 102 ที่ใกล้ปลดประจำการ รวมไปถึงการริเริ่มโครงการจัดหาเครื่องบินลำเลียงขนาดใหญ่ เพื่อใช้ทดแทน C-130 ที่ปฏิบัติภารกิจมาอย่างยาวนาน
โดย “กองทัพอากาศ” ก็ต้องชะลอโครงการที่ใช้งบประมาณสูงระดับหมื่นล้านเอาไว้ก่อน โดยเลือกการซ่อมบำรุงคืนสภาพ ด้วยการเปลี่ยนอะไหล่สำคัญ ถนอมชั่วโมงการบิน และปรับปรุงขีดความสามารถเครื่อง C-130 ที่มีทั้งการซ่อมอัพเดต และอัพเกรดเครื่องเพื่อยืดอายุใช้งานไปอีก 5-10 ปี
ควบคู่ไปกับการควบรวมฝูงบิน 102 ไปอยู่กับฝูงบิน 103 เนื่องจากเครื่องบิน F-16 ADF ถูกปลดประจำการหลายเครื่อง และเพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณ จึงต้องนำมาบริหารจัดการใหม่ โดยนำเครื่องที่เหลือมาประจำการที่ฝูงบิน 103 ซึ่งมีเครื่องบิน F- 16 AB ประจำการอยู่ด้วยเช่นกัน
ด้าน “กองทัพเรือ” เป็นเหล่าทัพที่ได้รับผลกระทบหนักสุด หลังถูกเฉือนงบการจัดหาเรือดำน้ำลำที่ 2 ออกไป (งบตั้งโครงการในปีแรก) บวกกับงบโครงการอื่น ก็ไม่สามารถตั้งโครงการใหม่ที่ต้องใช้งบประมาณมหาศาลได้
ส่วนงบการพัฒนากองทัพเรือ ก็ตกอยู่ที่เงินงวดผ่อน ใน 2 โครงการใหญ่ ทั้ง “เรือดำน้ำจีน-เรือฟริเกตเกาหลี” โดยต้องจัดสรรงบประมาณซ่อมบำรุง เพื่อยืดอายุใช้งานยุทโธปกรณ์แบบอื่นให้สามารถดำรงความพร้อมได้ในระดับต่ำ และใช้งบอย่างระมัดระวังที่สุด
โดย “กองทัพเรือ” กำลังจะปลดระวางประจำการเรือรบประมาณ 10 ลำ และเตรียมส่งมอบให้กับหน่วยงานหรือเอกชนที่ต้องการเนื่องจากต้องการลดภาระงบประมาณในการดูแลรักษาในแต่ละเดือน ประมาณ 3 แสนบาท และเลื่อนแผนการจัดหาเรือลำใหม่ทดแทนออกไปก่อน พร้อมกับซ่อมบำรุงเรือที่มีอยู่ นำไปปฏิบัติหน้าที่แทนเรือทั้งหมดที่ถูกปลดประจำการ
จะเห็นได้ว่า “เหล่าทัพ” เริ่มประสบปัญหาด้านงบประมาณเพื่อเดินหน้าแผนพัฒนากองทัพ หลังถูกตัดงบไปแก้ปัญหา “โควิด-19” ในช่วงที่ผ่านมา และจากนี้รัฐบาลจะเข้าสู่โหมดการฟื้นฟูประเทศ ซึ่งคาดกันว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ 3-4 ปี กว่าสถานการณ์ด้านงบประมาณของประเทศจะกลับมาดีขึ้น ก็เป็นเรื่องต้องคิดว่าแต่ละเหล่าทัพจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์ข้างหน้านี้อย่างไร โดยเฉพาะการเผชิญอุปสรรคจากฝ่ายการเมืองที่ตรวจเข้มกองทัพในยุคนี้