โควิดไม่จบง่าย ต้องมีแผนสำรอง

โควิด-19 จะยังคงอยู่อีกนานพอสมควร อย่างล่าสุดมีการพบผู้ติดเชื้อในลักษณะคลัสเตอร์ใหม่ที่ตลาดบางแค ซึ่งจำเป็นต้องมีแผนสำรองเพื่อรองรับสถานการณ์ที่ลากยาว นอกเหนือจากการป้องกันเฝ้าระวัง แผนรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน แผนการฉีดวัคซีน และแผนเยียวยาประชาชน
การประกาศจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 กลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้งอีกครั้ง หลังจากมีการพบผู้ติดเชื้อในลักษณะคลัสเตอร์ใหม่ คือ คลัสเตอร์ตลาดบางแค ซึ่งทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อที่ประกาศเมื่อวันที่ 15 มี.ค.2564 อยู่ที่ 78 คน เป็นการค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน 59 ราย รวมแล้วมีผู้ป่วยยืนยันสะสม 27,005 ราย รักษาหาย 26,234 ราย เสียชีวิต 87 ราย ทำให้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นต้องเข้มงวดการป้องกันการระบาดอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะมีการฉีดวัคซีนกระจายแพร่หลายและเกิดภูมิคุ้มกันหมู่
ประเทศไทยเริ่มฉีดวัคซีนครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 ก.พ.2564 หลังจากที่ประเทศไทยประกาศซื้อวัคซีนจากแอสตร้าเซเนก้าและซิโนแวค ซึ่งเดิมที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะฉีดวัคซีนซิโนแวคเป็นคนแรก แต่ติดข้อกำหนดการฉีดให้กับบุคคลที่มีอายุเกิน 60 ปี และต่อมานายกรัฐมนตรีมีกำหนดที่จะฉีดวัคซีนในวันที่ 12 มี.ค.2564 แต่มีรายงานผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซเนก้าในหลายประเทศ จึงทำให้การฉีดวัคซีนให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต้องเลื่อนออกไป
ขณะนี้ประเทศไทยมีความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนโควิด-19 จำนวน 46,598 ราย แยกเป็นบุคลากรทางการแพทย์ สาธารณสุข และอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) 29,300 ราย เจ้าหน้าที่อื่นที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย 10,029 ราย บุคคลที่มีโรคประจำตัว 1,989 ราย และประชาชนในพื้นที่เสี่ยง 5,280 ราย จำนวนผู้ที่ฉีดวัคซีนถือว่ายังไม่มากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรรวมของประเทศ แต่การฉีดวัคซีนก็มีความคืบหน้าเป็นลำดับ และถ้าไม่มีปัญหาเรื่องผลข้างเคียงเชื่อความคืบหน้าจะมีมากขึ้น
การฉีดวัคซีนในประเทศไทยยังไม่เห็นผลต่อการควบคุมการระบาด แต่เป็นแนวทางที่ดีที่สุดในขณะนี้ และเป็นแนวทางที่ต่างประเทศยอมรับถึงแม้ว่าการวิจัยและพัฒนาฉีดวัคซีนจะมีความเร่งรีบ จนทำให้ผู้ฉีดมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงในระดับที่สูงกว่าวัคซีนประเภทอื่นก็ตาม ซึ่งภาครัฐควรเดินหน้าฉีดวัคซีนต่อไป หลังจากสามารถฉีดให้กลุ่มเสี่ยงล็อตแรกตามกลุ่มเป้าหมายสะสมรายจังหวัดครบ 100% ในหลายจังหวัด คือ เชียงใหม่ ตาก สมุทรสงคราม ราชบุรี ชลบุรี ภูเก็ตและสุราษฎร์ธานี
การระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงอยู่ในประเทศไทยอีกพอสมควร แผนป้องกันเฝ้าระวัง แผนรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน แผนการฉีดวัคซีน รวมถึงแผนเยียวยาประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการระบาด และแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจจึงควรมีแผนสำรองเพื่อรองรับสถานการณ์ที่ลากยาว เพราะไม่มีใครคาดเดาได้ว่าการระบาดของโรคโควิด-19 จะยุติลงเมื่อใด แผนสำรองจึงมีความจำเป็นสำหรับทุกสถานการณ์เป็นอย่างยิ่ง







