'คดีบอส' ความจริงปรากฏ ระบบอุปถัมภ์ทำลายกฎหมาย

'คดีบอส' ความจริงปรากฏ ระบบอุปถัมภ์ทำลายกฎหมาย

ในที่สุดความจริงก็ปรากฎออกมาให้เห็น ภายหลังคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน

 ที่มี “วิชา มหาคุณ” เป็นประธาน ได้สิ้นสุดการทำงานและแถลงผลการทำงานต่อประชาชน

เป็นอีกครั้งที่ ‘วิชา’ แสดงให้เห็นว่า คือตัวจริง เสียงจริง และยังรักษามาตรฐานการทำงานได้เหมือนกับเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

ทั้งนี้ ถ้าใครได้อ่านรายงานผลการค้นหาข้อเท็จจริง คดีของนายวรยุทธ อยู่วิทยา บุตรชาย นายเฉลิม อยู่วิทยา มหาเศรษฐีแถวหน้าเมืองไทย ซึ่งขับรถชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิตเมื่อปี 2555 จะพบว่า สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างกระบวนการยุติธรรมของไทยอย่างเห็นได้ชัดเจน

โดยตอนหนึ่งของรายงานระบุว่า “พบการร่วมมืออย่างเป็นระบบของเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรม เจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทนายความ พยาน และบุคคลทั่วไป แทรกกระบวนการยุติธรรม โดยอาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย ใช้อำนาจหน้าที่มิชอบ ใช้อิทธิพลบังคับ และสร้างพยานหลักฐานเท็จ เพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหาให้พ้นจากการถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย”

กลายเป็นเรื่องที่สะเทือนวงการยุติธรรมและสะท้อนให้เห็นว่า จำเป็นอย่างยิ่งต่อการเร่งปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นระบบ และจุดที่ต้องเน้นคือ การแก้ไขความเหลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาคต่อการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมมาตรฐานเดียว

อีกทั้งยังเป็นไม้หน้าสามที่กระทุ้งแรงๆ ไปถึง ‘พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม” ฐานะผู้ประกาศมาตลอด ตั้งแต่ยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ว่า ประเทศไทยต้องดีกว่าเดิมด้วยการปฏิรูป แต่ผลที่ออกมา กลับเป็นตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง

ความล่มสลายของการปฏิรูปประเทศ โดยเฉพาะด้านกระบวนการยุติธรรม ยิ่งตอกย้ำให้เห็น ผ่านรายงานของคณะกรรมการชุดนี้ ที่ระบุว่ามีความไม่ชอบมาพากลภายในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้ ซึ่งทุกฝ่ายต่างทราบดีว่า สนช.นั้นก็ล้วนมาจากคนที่ คสช.เลือกมาด้วยมือตัวเอง

ในรายงานตอนหนึ่งพาดพิงถึง สนช.ว่า "มีกรรมาธิการบางคนให้ความเห็นและอ้างพยานหลักฐานเท็จเกี่ยวกับความเร็วของรถผู้ต้องหา เพื่อช่วยเหลือทางคดี เกี่ยวกับผลการทำงานที่สนับสนุนการร้องขอความเป็นธรรมให้กับผู้ต้องหา โดยประธานคณะทำงานของกรรมาธิการ ชุดที่มีข้าราชการทหาร ตำรวจระดับสูง เจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงในกระบวนการยุติธรรมนั้น สนับสนุนข้ออ้างของผู้ต้องหาในการสอบสวนเพิ่มเติม ทั้งนี้มีกรรมาธิการหลายคนไม่ประสงค์ให้ทำ เพราะก้าวก่ายการปฏิบัติหน้าที่และการใช้ดุลยพินิจของเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรม”

สนช.ที่ถูกตั้งความหวังว่าจะเข้ามาเป็นหนึ่งในแม่น้ำ 5 สาย แห่งการปฏิรูปประเทศ ปรากฏว่าทำให้หลายฝ่ายผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า และสมาชิก สนช.หลายคนในอดีต ก็ได้กลายเป็น ส.ว.ในปัจจุบัน

ยิ่งไปกว่านั้นอดีต สนช. ที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้โดยตรง กลับเลี่ยงที่จะตอบคำถามจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในรายงานของ ‘วิชา มหาคุณ’ อย่างสิ้นเชิง

โดยเฉพาะ พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ ส.ว. ฐานะอดีตประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สมัยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่ระบุว่า “ไม่รู้ ไม่มีปัญหาครับ ผมไม่ทราบ”

ด้วยเหตุนี้ เมื่อความไม่ยุติธรรมไม่ปรากฏ ย่อมไม่มีทางที่ความสงบจะเกิดขึ้นได้

ดังนั้น ทางเลือกของพล.อ.ประยุทธ์ จึงมีไม่มาก นอกจากทำให้แสงสว่างแห่งกระบวนการยุติธรรมปรากฏ เพราะนี่อาจเป็นผลงานชิ้นสุดท้าย ที่จะฝากไว้ก่อนที่ไม่มีที่ยืนในเวทีการเมือง