รัฐสูญรายได้650ล้าน ผลตรวจรถหรูล็อตแรก30คัน ลุยเช็คบิล300คัน

รัฐสูญรายได้650ล้าน ผลตรวจรถหรูล็อตแรก30คัน ลุยเช็คบิล300คัน

"ดีเอสไอ-ศุลกากร" ประเมินภาษีซุปเปอร์คาร์ล็อตแรก 30 คัน สำแดงอินวอยซ์เท็จชำระภาษีขาด ทำให้รัฐสูญรายได้ 650 ล้าน จ่อประเมินเพิ่มอีก 300 คัน ด้านศุลกากรเต้นไล่ออกจนท.แล้ว

ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) - พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีกรมสอบสวนคดี นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร ร่วมแถลงความคืบหน้ากรณีการปราบปรามการนำเข้ารถยนต์ที่ลักลอบนำเข้าและหลีกเลี่ยงการชำระภาษีศุลกากร สืบเนื่องจากกรณีเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษเข้าตรวจค้นตามหมายค้นศาลอาญาเมื่อวันที่ 18 และ 24 พ.ค. 60 ที่โชว์รูมรถยนต์หลายแห่ง และสามารถอายัดรถยนต์ SUPER CAR ไว้เพื่อตรวจสอบจำนวน 166 คัน โดยเป็นรถยนต์หลายยี่ห้อ อาทิเช่น ลัมโบร์กินี, โรสลอยด์, แมคคาเรน, โลตัส

พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวว่า ดีเอสไอได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ในการประสานข้อมูลกับประเทศต้นทางของรถยนต์เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับราคาซื้อขายที่แท้จริง เพื่อประกอบการสืบสวนสอบสวน ซึ่งเมื่อนำข้อมูลรถยนต์ที่ได้จากการตรวจค้นมาเปรียบเทียบกับหลักฐานที่ได้จากต่างประเทศพบว่า มีการสำแดงบัญชีราคาเท็จ 32 คันต่อกรมศุลกากร ไม่ตรงกับราคาที่มีการซื้อขาย ที่แท้จริงที่ได้รับมาจากประเทศผู้ผลิต และผู้จำหน่ายสินค้า กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงได้ขอให้กรมศุลกากรประเมินราคารถยนต์เบื้องต้น ตามเอกสารหลักฐานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ

ประกอบด้วยรถยนต์ยี่ห้อลัมโบร์กินี่ จำนวน 31 คัน และรถยนต์ยี่ห้อเล็กซัส จำนวน 1 คัน ซึ่งกรมศุลกากรได้จัดส่งข้อมูลบัญชีรายละเอียดการคำนวณภาษีรถยนต์กลับมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษแล้ว จำนวน 30 คัน พบว่ามีมูลค่าภาษีขาด รวมทั้งสิ้นประมาณ 650 ล้านบาท ซึ่งทำให้รัฐได้รับความเสียหาย จึงจะต้องดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดต่อไป

พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่ส จากการขยายผล พบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมพบว่ามีรถยนต์ยี่ห้อลัมโบร์กินี รุ่นเอเวนทาดอร์ นำเข้ามาจากสหราชอาณาจักร จำนวน 11 คัน ซึ่งเป็นรถยนต์รุ่นใหม่และมีราคาสูง แต่พบว่าในขั้นตอนพิธีการทางศุลกากรกลับนำหลักฐานไปสำแดงกับกรมศุลกากรเพื่อชำระภาษีอากรขาเข้าเป็นรถยนต์ยี่ห้อลัมโบร์กินี รุ่นเกลลาโดร์ ซึ่งเป็นรถยนต์รุ่นเก่าและมีราคาถูกกว่า 1 เท่าตัว เบื้องต้นพบพฤติกรรมดังกล่าวจำนวน 8 คัน อันเป็นการสำแดงเท็จ เป็นเหตุให้ภาษีอากรขาเข้าที่ต้องชำระขาดเป็นจำนวนมาก ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการร่วมกับกรมศุลกากรเพื่อคำนวณภาษีรถยนต์รวมถึงค่าภาษีและอากรที่ขาดและจะต้องดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดต่อไป โดยเป็นเงินภาษีที่ขาดไป 132 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังพบว่าหลังสำแดงรถเป็นรุ่นเกลลาโดร์ แล้ว ในขั้นตอนจดทะเบียนกับกรมขนส่งทางบกได้เปลี่ยนกลับมาเป็นรถรุ่นเอเวนทาดอร์ รูปแบบแปลงรุ่นรถนี้จึงเป็นเทคนิคใหม่ที่เพิ่มเติมขึ้นจากการสำแดงใบอินวอยซ์เท็จ

พ.ต.ท.กรวัชร์ กล่าวอีกว่า ดีเอสไอได้ดำเนินการสืบสวนเพิ่มเติม พบรถลัมโบร์กินีจดประกอบ จำนวน 2 คัน เป็นรถที่นำเข้ามาทั้งคัน แต่แจ้งเป็นรถจดประกอบ สำแดงราคาโครงตัวถัง 3 แสนบาท เครื่องยนต์ลัมโบกินี่ 38,000 บาท ซึ่งเป็นราคาถูกเท่ากับรถมอเตอร์ไซค์ และเสียภาษีเพียงแค่ 9 แสนบาท โดยคันแรกชำระภาษีขาด 18 ล้านบาท และคันที่ 2 ชำระภาษีขาด 20 ล้านบาท ซึ่งรถทั้งสองคันเป็นรถที่ถูกไฟไหม้ที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เชื่อว่านำเข้ามาในราชอาณาจักรทั้งคัน โดยมีขบวนการปลอมแปลงเอกสารว่านำเข้ามาเป็นชิ้นส่วน มีบริษัทนำเข้าตัวถัง, บริษัทนำเข้าเครื่องยนต์ และส่งต่อให้บริษัทรถยนต์นำไปเสียภาษีสรรพสามิต เพื่อนำไปขอจดทะเบียนต่อกรมการขนส่งทางบก ซึ่งราคารถจดประกอบจะเสียภาษีเป็นชิ้นส่วน โดยมีการเรียกเก็บภาษีเพียงร้อยละ 80 จากราคาที่สำแดง ขณะที่รถนำเข้าทั้งคันจะมีการเรียกเก็บภาษีสูงสุดถึงร้อยละ 328 จากราคาที่ซื้อ

“จากการตรวจสอบใบอินวอยซ์ที่นำมาสำแดงเสียภาษีกับศุลกากร แต่ละคันชำระภาษีไว้ขาดไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท จึงเป็นที่มาว่ารถ 30 คันแรก ต้องถูกเรียกเก็บภาษีรวม 650 ล้านบาท ขั้นตอนต่อไปกรมศุลกากรจะเรียกเก็บภาษีให้ครบถ้วน เพื่อนำเงินส่งเข้าประเทศ ส่วนดีเอสไอจะเรียกผู้ต้องหามารับทราบข้อกล่าวหา หลังจากนี้จะส่งหลักฐานให้กรมศุลกากรประเมินภาษีรถยนต์ซุปเปอร์คาร์อีก 300 คัน ในจำนวนนี้เป็นรถที่ถูกอายัดไว้ 166 คัน ส่วนหนึ่งนำเข้าโดยนายภาณุพงศ์ เตชธีรสิริ หรือบอย ยูนิตี้ รวมถึงรถที่มีผู้ครอบครองซื้อไปแล้ว ย้ำอีกครั้งว่าดีเอสไอมุ่งดำเนินการกับผู้ประกอบการ โดยผู้ซื้อเบื้องต้นสันนิฐานไว้ก่อนว่าไม่เกี่ยวข้อง และไม่มีส่วนรู้เห็นว่ารถชำระภาษีไว้ขาด ส่วนรถที่ถูกโจรกรรมมาจากอังกฤษ ตรวจพบแล้ว 15 คัน และยังตรวจพบเพิ่มอีกจำนวนมาก โดยทั้งหมดอยู่ในมือผู้ครอบครอง ”พ.ต.ท.กรวัชร์ กล่าว

ด้านนายกุลิศ กล่าวว่า กรมศุลกากรดำเนินการด้วยความรวดเร็ว สามารถดำเนินการประเมินภาษีได้ภายใน 1 สัปดาห์ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ดีเอสไอส่งมาว่ามีความสมบูรณ์แค่ไหน ส่วนเจ้าหน้าที่ที่ดีเอสไอพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการสำแดงรถผิดรุ่น เพื่อช่วยเหลือผุ้ประกอบการในการสำแดงราคาต่ำ กรมศุลกากรได้ไล่ออกไปแล้ว โดยขั้นตอนการปล่อยรถเพื่อผ่านพิธีการศุลกากรทำโดยรุปแบบคณะกรรมการ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง 4-5 คน ยืนยันว่ากรมไม่ได้นิ่งนอนใจในการสอบสวนได้เอาผิดอยู่ตลอดเวลา รวมถึงคดีที่อยู่ในการไต่สวนของป.ป.ช.ด้วย แต่เบื้องต้นยังไม่ขอเปิดเผยตัวเลขเจ้าหน้าที่ที่ถูกดำเนินการ ส่วนการแก้ไขได้กำชับไปที่การท่าทุกแห่งให้เข้มงวดในการตรวจปล่อยรถ พร้อมส่งเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางเข้าไปเป็นที่ปรึกษาให้ทุกการท่า ในกรณีมีความเห็นขัดแย้งขอให้ส่งเรื่องมาให้กรมศุลกากรเป็นผู้ตัดสิน เพื่อตรวจปล่อยรถให้ผู้นำเข้าได้เร็วที่สุด ขณะเดียวกันรัฐต้องจัดเก็บภาษีได้เต็มจำนวนด้วย สำหรับผู้ประกอบการที่สุจริต คำสั่ง 317 ไม่ได้เป็นอุปสรรค เพียงแค่สำแดงใบอินวอยซ์ที่แท้จริงก็จบเรื่อง แต่ที่ผ่านมา นำใบอินวอยซ์เท็จมาสำแดงราคาต่ำกว่า 10 เท่า เป็นการใช้คำสั่งมาตรา 317 ในทางที่ผิด เมื่อกรมศุลกากรพบข้อบกพร่องจึงจะเป็นต้องแก้ไขคำสั่ง 317 ที่ใช้มานานกว่า 13 ปี ส่วนข้ออ้างที่มองว่ากำแพงภาษี 328 เปอร์เซ็นต์สูงเกินไป สมควรจะต้องลดลงหรือไม่นั้น ยังต้องพิจารณาให้รอบด้าน แต่ตนเห็นด้วยที่จะปรับลดกำแพงภาษีเพื่อให้รัฐสามารถเก็บภาษีได้เต็มจำนวน มิเช่นนั้นผู้ประกอบการจะหาทางหลีกเลี่ยง

“คำสั่ง 317 ที่ใช้มานานจนพบข้อบกพร่องถึงเวลาที่ต้องแก้ไข กรณีที่กลุ่มเกรย์มาร์เก็ตอ้างส่วนลดการนำเข้าจากยุโรป 43.46 เปอร์เซ็นต์ เป็นหลักเกณฑ์ในการคำนวนราคา โดยหักต้นทุนเพื่อจัดเก็บภาษีที่เหมาะสม ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่คำสั่งที่ 317 แต่เป็นการสำแดงราคาต่ำเป็น 10 เท่าและนำมาหักส่วนลดต่างๆ ลงอีก จึงทำให้รถแต่ละคันชำระภาษีขาดไปเป็นจำนวนมาก สำหรับคำสั่งที่ 317 ฉบับแก้ไขใหม่จะเริ่มเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้ภายในเดือนก.ค.นี้ หลังจากนั้นจะบังคับใช้โดยไม่มีผลย้อนหลังและไม่มีขัดแย้งกับข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า หรือ แกตต์” อธิบดีกรมศุลกากร กล่าว

สำหรับรถยนต์ลัมโบกินี 8 คันจาก 11 คันที่พบว่าสำแดงผิดรุ่นจากอาเวนทาดอร์เป็นเกลลาโดร์ เป็นการสั่งซื้อจาก บมจ.ออโตโมบิลลัมโบร์กินี โฮลดิ้ง เอส.พี.เอ. ประเทศอิตาลี จำหน่ายให้บริษัทตัวแทนรถยนต์ในอังกฤษ นำเข้าไทยโดยบริษัทออสติน ออโต้ คาร์ส.จำกัด นำดข้าผ่านสุวรรณภูมิ 4 คัน ส่วนอีก 4 คันนำเข้าที่ท่าเรือแหลมฉบัง อยู่ในเขตปลอดอากรของบ.เจดับเบิ้ลยูดี จำกัด