'เรืองไกร' ร้องสรรพากรระงับเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ป

'เรืองไกร' ร้องสรรพากรระงับเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ป

"เรืองไกร" ร้องกรมสรรพากรขอระงับเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ป ยืนยันหมดอายุความไปแล้ว 6 เดือน ชี้ "ทักษิณ" ต้องการเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกัน

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ตัวแทนทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย เดินทางมายืนหนังสือถึงกรมสรรพากร ขอให้ระงับการจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้นจากนายทักษิณ ชินวัตร โดยระบุว่า เมื่อ คตส.ได้ระงับหมายเรียกจัดเก็บภาษีจากนายพานทองแท้ และนางพิณทองพา หรือโอ๊ค /เอม แล้ว จึงถือว่าหมายเรียกดังกล่าวไม่มีสถานะเป็นหนังสือราชการ และใช้งานไม่ได้แล้ว จึงไม่สามารถประเมินจัดเก็บภาษีได้ จึงอยากให้กรมสรรพากรยึดหลักตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสิน ไม่ควรยึดหลักตามมติ ครม. หรือ คตง. ซึ่งระบุว่าหมายเรียกเก็บภาษียังใช้การได้ เพื่อนำไปสู่ขั้นตอนการประเมินภาษี

และเมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินแล้วว่า นายพานทองแท้ และนางพิณทองพา หรือโอ๊ค เอ็ม ไม่ใช่เป็นตัวการในการซื้อขายหุ้น และระบุว่านายทักษิณเป็นตัวการในการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปซึ่งขายให้กับเทมาเสก เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 เข้าข่ายต้องเสียภาษีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) เพราะเป็นรายได้อื่น นอกเหนือจาก (1)-(8) นายทักษิณต้องยื่นแบบภาษีกลางปีภายใน 30 กันยายนของทุกปี เมื่อนับอายุความคดีดังกล่าวได้หมดอายุความไปแล้ว 6 เดือน จึงไม่ใช่การครบกำหนด 31 มี.ค.60 มองว่าไม่สามารถจัดเก็บภาษีดังกล่าวได้ ดังนั้นหากกรมสรรพากรยังเดินหน้าต้องถูกฟ้องร้องดำเนินคดีอาญาอีกหลายคดี และยังต้องถูกฟ้องร้องดำเนินคดีความผิดมาตรา 123 ตามกฎหมาย ป.ป.ช.

ดังนั้น ความพยายามของรัฐบาลกดดันให้กรมสรรพากร ทำการประเมินและเรียกเก็บภาษีจากอดีตนายกฯ ทักษิณ จำนวนเงินกว่า 1.6 หมื่นล้านบาทนั้น ไม่สามารถดำเนินการได้ และหากกรมสรรพากรยังต้องยื่นหนังสือเก็บภาษีที่บ้านจันทร์ส่องหล้าในวันพรุ่งนี้ ต้องนำมาพิจารณาดูว่าเป็นหนังสือประเภทใด เพื่อนำมาเป็นหลักฐานในการฟ้องร้อง อย่างไรก็ตาม นายทักษิณ ต้องการให้เจรจาร่วมกันมากกว่า เพราะหากยึดหลักเอกสารเดิม มีโอกาสสุ่มเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องดำเนินคดี เพื่อไม่ให้เกิดการฟ้องร้องคดีอาญาตามมาอีกหลายคดี เพื่อหาทางออกร่วมกัน