ชงอสส.สอบเอาผิด 'ทักษิณ' คดีม.112-สตช.เล็งถอดยศ

ชงอสส.สอบเอาผิด 'ทักษิณ' คดีม.112-สตช.เล็งถอดยศ

ปอท.ชง "อสส." ตั้งทีมสอบสวนเอาผิด "ทักษิณ" คดีหมิ่นเบื้องสูง ขณะ "ผบ.ทบ." ส่งทหารพระธรรมนูญแจ้งจับ

ด้าน“ผบ.ตร.”ตั้งทีมตรวจสอบถอดยศ “ชัยยะ”ชงผลสรุปถึงมือแล้ว “ประยุทธ์”ยันไม่ปรับครม.เศรษฐกิจ ลั่นเสียงชีวิตทำรัฐประหารเพื่อชาติสงบ


ภายหลังกระทรวงการต่างประเทศ สั่งเพิกถอนหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) 2 เล่มของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีให้สัมภาษณ์ที่ประเทศเกาหลีใต้ มีเนื้อหาบางส่วนที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคง ชื่อเสียงและเกียรติภูมิของประเทศไทย และฝ่ายความมั่นคงให้ดำเนินคดีในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112, 326, 328 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์นั้น


นายวันชัย รุจนวงศ์ อธิบดีอัยการสำนักงานต่างประเทศ และโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ส่งสำนวนคดีให้อัยการ เพื่อให้ดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ฐานหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า เบื้องต้นทางสำนักงานอัยการสูงสุดได้รับสำนวนคดีดังกล่าวจากทางตำรวจแล้ว ซึ่งกรณีนี้เป็นความผิดที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร ตามขั้นตอนแล้วจึงต้องเสนอเรื่องให้ นายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด (อสส.) เป็นผู้พิจารณา


โดยทาง อสส.จะเป็นผู้มีคำสั่งตั้งพนักงานสอบสวน ปอท. หรือ พนักงานอัยการ หรือให้เจ้าพนักงานทั้ง 2 หน่วยงานขึ้นรับผิดชอบสำนวนคดีร่วมกัน เพื่อพิจารณาต่อไปก็ได้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สำนวนคดียังไม่ได้ส่งไปยัง อสส. เนื่องจากทางสำนักงานอัยการสูงสุดเพิ่งจะได้รับสำนวนมาจากทางตำรวจ ปอท.
ผบ.ทบ.ส่งทหารแจ้งจับ"ทักษิณ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ได้มอบหมายให้ พล.ต.ศรายุทธ กลิ่นมาหอม ผู้อำนวยการสำนักพระธรรมนูญ กองทัพบก เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ศาลอาญา โดยคดีดำเลขที่ 1824/2558 ตั้งแต่วันที่ 26 พ.ค.ที่ผ่านมา ฐานความผิดคดีหมิ่นประมาท หลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศที่เข้าข่ายต่อความมั่นคงของประเทศ โดยเฉพาะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 326 และ 328


สตช.ตั้งทีมสอบสวนถอดยศ“ทักษิณ”
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงการถอดยศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล จเรตำรวจแห่งชาติ ตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนหาพยานหลักฐานว่า จะเข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ปี 2547 เรื่องการถอดยศนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร หรือไม่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล และหากพบว่ามีความผิดก็จะนำเข้าสู่กระบวนการต่อไป


“เป็นการทำไปตามกระบวนการและชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีความรู้สึกส่วนตัวในการลงความเห็นเสนอให้หน่วยงานความมั่นคงดำเนินการ ซึ่งก็ได้ฟังคำสัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณทั้งหมดแล้ว” ผบ.ตร.กล่าว
“ชัยยะ”ชงผลสรุปให้ผบ.ตร.แล้ว


ด้านพล.ต.อ.ชัยยะ กล่าวว่า ผลสรุปของคณะกรรมการรอให้ ผบ.ตร. เป็นผู้ให้สัมภาษณ์ ตนบอกได้เพียงว่าคณะกรรมการได้สรุปความเห็นไปแล้ว ยืนยันว่าการพิจารณาครบถ้วนสมบูรณ์ทุกอย่างแล้ว มีทุกมิติ สามารถตอบคำถามได้ทั้งหมด ตามปกติในการถอดยศข้าราชการตำรวจ ทางคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.) ส่งเรื่องมายังกองวินัยตำรวจก่อน แล้วส่งเรื่องมายังกองกำลังพล ทำหน้าที่ประมวลเรื่อง ก่อนนำเสนอ ผบ.ตร. และนำเรื่องทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย มีผลสมบรูณ์


“ประยุทธ์”ปัดสั่งเอาผิด“ทักษิณ”
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์กรณีที่กระทรวงการต่างประเทศ ยกเลิกพาสปอร์ต ของพ.ต.ท.ทักษิณ ว่า เรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวกับตน แต่มีประชาชนจำนวนมากและกองทัพไปแจ้งความ เพราะการกระทำของพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการหมิ่นประมาท ให้ร้าย สร้างความเกลียดชัง จึงถือว่าผิดกฎหมาย ซึ่งเรื่องนี้แล้วแต่ละหน่วยงานที่มีหน้าที่จะพิจารณาดำเนินการกันเอง ตนไม่ได้สั่ง


ส่วนจะมีการดำเนินเอาผิดข้อตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 คดีหมิ่นสถาบันหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถ้าผิดก็ต้องดำเนินการ แล้วแต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการกันเอง เพราะมีร้องเรียนมาจำนวนมาก ทำอะไรลงไปแล้วก็เป็นเรื่องของกฎหมาย


ยันไม่ปรับครม.เศรษฐกิจ
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงกระแสข่าวปรับคณะรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ ว่า “เอาข่าวมาจากไหน คุณก็ไปตั้งกันเอาเองแล้วกัน ไหนบอกมาว่าไม่ดีตรงไหน ตอนนี้เศรษฐกิจก็ทำงาน กำลังเดินไปได้ ผมได้พูดคุยกับคุณประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว เขาบอกว่าปัญหาเศรษฐกิจมีในระดับจุลภาค คือเศรษฐกิจในระดับล่างที่ไม่เข้มแข็ง ต่อให้ร้อยปรีดิยาธร ร้อยประวิตร ก็แก้ไม่ได้ บ้านเมืองจะเดินไปได้ ไม่ใช่รัฐบาลหรือนักการเมืองอย่างเดียว ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน ต้องดำเนินการนโยบายให้ต่อเนื่อง”


ลั่นเสียงชีวิตทำรัฐประหารเพื่อชาติ
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวช่วงหนึ่งขณะรับประทานอาหารเที่ยงร่วมกับผู้สื่อข่าวสายทำเนียบฯ ว่า ตนเสี่ยงชีวิตเข้ามาทำรัฐประหารเพื่อความสงบของบ้านเมือง ต่อจากนี้ก็ขึ้นอยู่ที่ประชาชนว่าจะเอาอย่างไร โดยอำนาจของประชาชนใช้ได้โดยผ่านฝ่ายบริหาร ตุลาการ นิติบัญญัติ แนวทางของรัฐบาลคือ รักษาเสถียรภาพของประเทศ เพื่อเตรียมการนำไปสู่การเลือกตั้ง โดยรัฐบาลทำตามโรดแมพ แม้มีคนพยายามไม่ให้รัฐบาลเดินไปถึงตรงนั้น แต่ตนไม่สนใจ ยืนยันว่าจะต้องเดินตามวางแผนแล้วนำไปสู่การเลือกตั้ง


“วันนี้ไม่สามารถทำให้ทุกคนคิดเหมือนกันหมด แต่เราต้องอยู่ร่วมกันได้ การประท้วงก็ต้องทำด้วยความสงบ ไม่เกิดการจลาจล ถ้ามีการสูญเสียก็ต้องบังคับใช้กฎหมาย อย่างเหตุการณ์ในประเทศไทยทั้ง ปี 2553 2556-2557 ผู้ก่อความวุ่นวายให้ประเทศต่างเป็นกลุ่มเดียวกัน โดยในปี 2557 ผู้ชุมนุมต่างประท้วงโดยสงบ แต่ในปี 2553 ที่ต้องทำเพราะมีการยิงเจ้าหน้าที่ โดยทำตามกฎหมายตามขั้นตอน ตามวิธีการ ทำจากหนักไปหาเบา 7 ขั้นตอน แต่ฝ่ายผู้ชุมนุมก่อเหตุอย่างรวดเร็ว ทำให้ทหารบาดเจ็บ ล้มตาย ถูกตี ถูกเหยียบเป็นจำนวนมาก แต่ผมไม่เคยโกรธ”


ย้ำขึ้นหลังเสือแล้วต้องลงให้เป็น
ผู้สื่อข่าวถามว่ามั่นใจไหมว่าจะลงจากหลังเสือได้อย่างสง่างาม พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “เรื่องนี้ก็แล้วแต่พวกเรา ผมก็ลงเหมือนคนเดินดินปกติ”
เมื่อถามต่อว่า ที่ผ่านมาอดีตนายกฯ หลายคนเวลาลงจากหลังเสือก็บาดเจ็บตลอด “ก็ลงให้เป็นสิ หรือฆ่าเสือก่อนดี”


กต.เล็งเลิกพาสปอร์ตคนผิดม.112เพิ่ม
ด้าน พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ในรายการ “ชั่วโมงที่ 26” ทางช่อง NOW 26 ถึงกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศประกาศยกเลิกหนังสือเดินทางของ

พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า เป็นไปตามระเบียบ และเป็นเหตุผลที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เสนอมาจะมีความผิดเข้าข่ายประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112, 326 และ 328 ซึ่งจริงๆ ทุกคนก็จะเป็นแบบนี้หมดถ้าเข้าข่าย หรือกติกาที่ฝ่ายความมั่นคงเสนอมาและพิจารณา ถือเป็นเรื่องปกติ ถ้าไม่ทำอาจถูกกล่าวหาได้ว่าละเว้นการฏิบัติหน้าที่ ส่วนที่ต้องมีการนำเรื่องเข้า ครม.นั้นเป็นเพียงการแจ้งให้ ครม.ทราบเท่านั้น


ส่วนคนไทยที่เคลื่อนไหวในต่างประเทศ บางคนมีคดีมาตรา 112 หรือบางคนก็ไปแถลงการณ์เคลื่อนไหว กลุ่มคนเหล่านี้เข้าข่ายพิจารณายกเลิกหรือไม่ พล.อ.ธนะศักดิ์ กล่าวว่า คิดง่ายๆ ก็อยู่ในข่าย แต่ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และมีเหตุผล เป็นธรรม และเป็นไปตามกฎหมาย