MONEY AND STOCK MARKET REVIEW วันที่ 29-30 ธันวาคม 2568

เงินบาทกลับมาอ่อนค่าลงตามแรงขายทองคำในตลาดโลก ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยปิดบวกเล็กน้อยในสัปดาห์สุดท้ายของปี 2568
KEY
POINTS
สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท
• เงินบาทอ่อนค่ากลับมาตามแรงขายทำกำไรทองคำในตลาดโลก
ในสัปดาห์ทำการสุดท้ายของปี 2568 เงินบาทพลิกอ่อนค่า กลับมาแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 2 สัปดาห์ที่ 31.67 บาทต่อดอลลาร์ฯ ตามแรงขายทำกำไรทองคำในตลาดโลกและแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ เพื่อปรับโพสิชั่นก่อนสิ้นปี นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทในระหว่างสัปดาห์ยังสอดคล้องกับแรงขายสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติด้วยเช่นกัน
ในสัปดาห์นี้ (29-30 ธ.ค. 68) ธปท. มีการเพิ่มความเข้มงวดในการกากับดูแลธุรกรรมเงินตราต่างประเทศขาเข้า เพื่อลดแรงกดดันด้านแข็งค่าของเงินบาทและป้องกันการนำเงินเข้าประเทศที่ไม่ตรงกับแหล่งที่มาที่แจ้งไว้ หรือการทำธุรกรรมที่ไม่พึงประสงค์ โดยมีการปรับหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการตรวจสอบเอกสารหลักฐานการทำธุรกรรมขาย FX ของผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล อาทิ กรณีการขายและรับโอน FX ที่มาจากการขายทองคำ1 หรือกรณีการขาย FX เพื่อรับเงินบาทและการโอนเงินตราต่างประเทศเข้าบัญชี FCD ที่มีมูลค่าตั้งแต่ 200,000 ดอลลาร์ฯ หรือเทียบเท่าขึ้นไป2
(หมายเหตุ : 1 ธ.พ. ต้องตรวจสอบเอกสารการขายทองคาในต่างประเทศ รวมทั้งเอกสารเรียกเก็บเงินและใบขนทองคาของลูกค้าในทุกธุรกรรม 2 ธ.พ. ต้องเรียกตรวจสอบเอกสารให้แหล่งที่มาของ FX ตรงตามที่ลูกค้าแจ้งไว้เป็นรายธุรกรรมทุกครั้ง)
นอกจากนี้ ธปท. และสำนักงาน ปปง. ยังร่วมกันจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อตรวจสอบธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับทองคำเพื่อยกระดับการกำกับดูแลให้เข้มงวดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ 1) การเชื่อมโยงและบูรณาการข้อมูล ซึ่งจะเน้นไปที่การระบุผู้ได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริงเพื่อป้องกันการใช้ตัวแทนอำพราง (Nominee) ในการซื้อขายทองคำ ปริมาณมาก
2) การวิเคราะห์พฤติกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย เพื่อวางแนวทางจัดการที่เหมาะสม และ 3) การกำหนดแนวทางการกำกับดูแลและตรวจสอบธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับทองคำ
• ในวันอังคารที่ 30 ธ.ค. 2568 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 31.41 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 31.07 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (26 ธ.ค.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 29-30 ธ.ค. 2568 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 657 ล้านบาท และมีสถานะอยู่ในฝั่ง Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 1,269 ล้านบาท (ขายสุทธิพันธบัตร 1,259 ล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 10 ล้านบาท)
• สัปดาห์ระหว่างวันที่ 5-9 ม.ค. 2569 ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 31.00-31.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือนธ.ค. ของไทย ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ การเคลื่อนไหวของสกุลเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก
ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นและมุมมองต่อเงินเฟ้อของผู้บริโภค (เบื้องต้น) สำหรับเดือนม.ค. 2569 ดัชนี ISM/PMI ภาคการผลิตและภาคบริการ ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชน การจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงานเดือนธ.ค. 2568 ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านเดือนก.ย.-ต.ค. 2568 และข้อมูลจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการเดือนธ.ค. ของญี่ปุ่น จีน ยูโรโซน และอังกฤษ รวมถึงอัตราเงินเฟ้อเดือนธ.ค. ของยูโรโซนด้วยเช่นกัน
เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบอ่อนค่าในช่วงต้นปี 2568 ท่ามกลางความกังวลในเรื่องผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่อาจเกิดขึ้นจากประเด็นนโยบายด้านการค้าระหว่างประเทศของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีทำให้การคาดการณ์เกี่ยวกับโอกาสการลดดอกเบี้ยของเฟดเลื่อนเวลาออกไป
อย่างไรก็ดี เงินบาททยอยแข็งค่ากลับมาในช่วงที่เหลือของปี โดยมีแรงหนุนสำคัญจาก 3 ปัจจัยหลัก ๆ ได้แก่ 1) การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ฯ ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ที่ทยอยปรับลดลง และความกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากผลกระทบของ Tariffs 2) การปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลายครั้งของราคาทองคำในตลาดโลก ซึ่งค่า Correlation ระหว่างราคาทองคำโลกและอัตราแลกเปลี่ยน USD/THB อยู่ที่ -0.82 ในปี 2568
และ 3) การเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 14.6 พันล้านดอลลาร์ฯ ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2568 ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการเร่งส่งออกสินค้าก่อนการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ จะมีผล
ทั้งนี้ ในช่วงปลายปี 2568 เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างมาก และแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 4 ปี 9 เดือน (แข็งค่าสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2564) ที่ 31.01 บาทต่อดอลลาร์ฯ ตามจังหวะการปรับตัวขึ้นของราคา Spot ของทองคำในตลาดโลกที่ทะยานขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ใกล้แนว 4,550 ดอลลาร์ฯ ต่อออนซ์
สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย
• ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงในช่วงแรก ก่อนจะฟื้นตัวกลับมาได้ในวันทำการสุดท้ายของปี 2568 ขณะที่ปริมาณการซื้อขายค่อนข้างเบาบางก่อนเข้าสู่ช่วงหยุดยาวสิ้นปี
SET Index ปรับตัวลงในวันทำการแรกของสัปดาห์ตามแรงขายของกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์และต่างชาติ โดยมีการเลือกขายทำกำไรหุ้นรายตัว อาทิ บริษัทผู้ประกอบธุรกิจท่าอากาศยาน บริษัทที่ดำเนินธุรกิจค้าปลีก และบริษัทด้านพลังงาน เนื่องจากไร้ปัจจัยใหม่ ๆ เข้ามากระตุ้นตลาด
อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นไทยฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนในวันทำการสุดท้ายของปี 2568 ตามแรงซื้อหุ้นกลุ่มแบงก์ก่อนประกาศงบไตรมาส 4/2568 และหุ้นผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่แห่งหนึ่งหลังร่วงลงแรงก่อนหน้านี้ อนึ่ง สัปดาห์นี้ตลาดหุ้นไทยเปิดทำการเพียง 2 วัน ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายค่อนข้างเบาบาง
• ในวันอังคารที่ 30 ธ.ค. 2568 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,259.67 จุด เพิ่มขึ้น 0.03% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 28,128.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.47% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 0.83% มาปิดที่ระดับ 217.05 จุด
• สัปดาห์ถัดไป (5-9 ม.ค. 69) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,240 และ 1,230 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,270 และ 1,285 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนธ.ค. ของไทย และทิศทางเงินทุนต่างชาติ
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการ ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนของ ADP ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงานเดือนธ.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ดัชนี PMI เดือนธ.ค. ของยูโรโซน อังกฤษ และญี่ปุ่น ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนธ.ค. และดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนพ.ย. ของยูโรโซน ตลอดจนดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนธ.ค. ของจีน
SET Index แตะจุดสูงสุดของปีที่ระดับ 1,399.35 จุดในวันทำการแรกของปี 2568 ก่อนจะแกว่งตัวอิงขาลงจนถึงช่วงกลางปีท่ามกลางหลายปัจจัยลบ อาทิ การคาดการณ์เกี่ยวกับการชะลอการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของนโยบายภาษีของสหรัฐฯ (แม้สหรัฐฯ จะระงับใช้มาตรการภาษีตอบโต้เป็นการชั่วคราวเพื่อเปิดช่องให้เกิดการเจรจาต่อรองในเดือนเม.ย.)
รวมถึงการยกระดับความรุนแรงของสงครามการค้า สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ตลอดจนปัจจัยการเมืองในประเทศหลังเกิดประเด็นขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นไทยแตะจุดต่ำสุดในรอบ 5 ปี 3 เดือนที่ 1,053.79 จุดในช่วงท้ายเดือนมิ.ย. 2568 ก่อนจะฟื้นตัวขึ้นได้ในเวลาต่อมา
ปัจจัยที่หนุนให้ดัชนีหุ้นไทยทยอยฟื้นตัวขึ้นในช่วงไตรมาส 3/2568 ได้แก่ การเริ่มปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนก.ย. การบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้าใหม่ปรับลดลงมาอยู่ใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน และการจัดตั้งรัฐบาลรักษาการที่เป็นไปอย่างราบรื่น
อย่างไรก็ดี กรอบการปรับขึ้นของดัชนีหุ้นไทยค่อนข้างจำกัดในช่วงไตรมาส 4/2568 หลังเฟดส่งสัญญาณไม่เร่งลดดอกเบี้ยในปี 2569 ประกอบกับตลาดมีความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยหลังเหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้ และสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา นอกจากนี้ยังต้องติดตามประเด็นการเมืองในประเทศอย่างใกล้ชิดหลังมีการประกาศยุบสภาและการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2569







