นายกฯแถลงผลงาน6เดือน แจงเร่งเดินหน้าปฏิรูปพัฒนาประเทศ

นายกฯแถลงผลงาน6เดือน แจงเร่งเดินหน้าปฏิรูปพัฒนาประเทศ

(รายละเอียด) "พล.อ.ประยุทธ์" นายกฯแถลงผลงานรัฐบาล รอบ 6 เดือน แจงเร่งเดินหน้าปฏิรูปพัฒนาประเทศ เตรียมเลือกตั้งทันที ปัดสืบทอดอำนาจ

เมื่อเวลา 09.00 น.ที่ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.ได้แถลงผลการดำเนินงานของรัฐบาลรอบ 6 เดือน เริ่มต้นโดยรอ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้กล่าวนำเข้าสู่การแถลงผลงานก่อนที่นายกรัฐมนตรี จะแถลงผลงานรอบ 6 เดือนที่โพเดียม โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและผู้แทนรองนายกรัฐมนตรีประจำในที่นั่งที่จัดไว้ ทั้งนี้เมื่อนายกรัฐมนตรีแถลงเสร็จ รองนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ​ เป็นผู้กล่าวถึง งานด้านความมั่นคง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล เป็นผู้กล่าวถึงงานด้านเศรษฐกิจ ตามด้วยนายยงยุทธ ยุทธวงศ์ กล่าวเกี่ยวกับงานด้านสังคม จากนั้นนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมช.ต่างประเทศ เป็นผู้แทนรองนายกด้านต่างประเทศ กล่าวถึงงานด้านต่างประเทศ ปิดท้ายด้วยนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรณธนะ รมต.ปนะจำสำนักนากยรัฐมนตรี เป็นผู้แทนนายวิษณุ เครืองาม กล่าวงานทางด้านกฎหมาย

   

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคณะรัฐมนตรีและหัวหน้าส่วนราชการระดับสูง รวมทั้งสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศจะนั่งตามจุดที่จัดไว้ให้ตามลำดับ โดยภายหลังการแถลงผู้สื่อข่าวตั้งคำถามและมีการตั้งข้อซักถามก่อนที่ทั้งหมดจะเยี่ยมชมนิทรรศการผลงานบริเวณโถงกลางตึกสันติไมตรี โดยผลงานแถลงผลงานครั้งนี้มีการถ่ายทอดสดทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ (สทท.) อย่างไรก็ตามก่อนการแถลงผลการดำเนินงานอย่างเป็นทางการ เจ้าหน้าที่สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้แจกเอกสารรวบรวมผลงานรอบ 6 เดือน จำนวน 22 หน้า แบ่งเนื้อหาเป็นสถานการณ์ก่อนเข้าบริหารประเทศ สถานการร์ภายหลังเข้าบริหารประเทศ แนวนโยบายของรัฐบาล กลไกการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล ผลการดำเนินงานของรัฐบาลในรอบ 6 เดือน ซึ่งเป็นนโยบายทั้ง 11 ด้านตามที่รัฐบาลแถลงไว้ ประกอบด้วย นโยบายที่ 1 การปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ นโยบายที่ 2 การรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ นโยบายที่ 3 การลดความเหลื่อมล้ำของสังคมและการสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของรัฐ นโยบายที่ 4 การศึกษาและเรียนรู้ การทำนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม นโยบายที่ 5 การยกระดับคุณภาพบริกรด้านสาธารณสุขและสุขภาพของประชาชน นโยบายที่ 6 การเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ นโยบายที่ 7 การส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน นโยบายที่ 8การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประเทศจากวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนาและนวัตกรรม นโยบายที่ 9 การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร การสร้างสมดุลและระหว่างกรอนุรักษ์กับการใมช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน นโยบายที่ 10 การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ และนโยบายที่ 11 การปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม

               

พล.อ.ประยุทธ์​ แถลงผลการดำเนินงานของรัฐบาลรอบ 6 เดือน ว่า ถือเป็นวันดีเพราะวันนี้เป็นวันพระ ตอนเช้าได้ไหว้พระขอให้ตัวเองใจเย็น ๆ อามรณ์ดีตลอดเพราะเพิ่งผ่านเทศกาลสงกรานต์ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ไทยด้วย วันนี้เป็นกำหนดแถลงผลานของพวกเราทุกคนทั้งรัฐบาล ข้าราชการและคนไทย เพราะรัฐบาลนี้ไม่ใช่รัฐบาลของตนเพียงคนเดียวแต่เป็นของคนไทยทั้งประเทศ เราทำให้กัคนไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น หลังจากที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อวันที่ 12 ก.ย.2557 เป็นเวลา 6 เดือนของรัฐบาลและ 5 เดือนของ คสช.ป็นความต่อเนื่องในการบริหารราชการแผ่นดินมีเงื่อนไขและระยะเวลาที่แตกต่างจากรัฐบาลผ่านมา ซึ่งต้องเข้าใจว่าเราเข้ามาเพื่อให้เกิดการปฏิรูป แก้ไขปัญหาที่ทับซ้อนมานานซึ่งต้องแก้ไขทั้งระบบ สำหรับเงื่อนไขของรัฐบาลชุดปัจจุบันคือการสานงานต่อจากภารกิจของ คสช.ที่ได้กำหนดแนวทางการบริหารประเทศไว้ 3 ระยะ ระยะแรกคือการระงับยับยั้งความขัดแย้ง แก้ไขผลกระทบจากการที่รัฐบาลู่ในสภาพที่ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้่องนี้ต้องเข้าใจกันเพราะที่ผ่านมารัฐบาลทำงานไม่ได้ รัฐบาลชุดนี้จึต้องเข้ามาแก้ปัญหาเร่งด่วนและลื่อนการบริหารราชการแผ่นดินให้เดินหน้าต่อไปให้เกิดความสงบสุข ซึ่ต้องขอบคุณทุกภาคส่วนที่ทำให้บ้านเมืองเรียบร้อยมาถึงวันนี้ทั้งในส่วนของ คสช.และรัฐบาล

                       

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การทำงานในระยะที่สอง ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว จัดตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)เสนอร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2558 ซึ่งใช้เวลาทำประมาณ ​3 เดือน มีการจัดกลุ่มการบูรณาการของแต่ละกระทรวงเพื่อให้เดินหน้าไม่ทับซ้อน ไม่ให้การใช้จ่ายแบบสุรุ่ยสุร่าย จากนั้นจึงมีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี ( ครม.)ในเดือน ส.ค.2557 และ คสช.ก็ลดบทบาทมาเป็นผู้สนับสนุนและที่ปรึกษาในการขับเคลื่อนงานตามยุทธศาสตร์และใช้อำนาจที่มีอยู่ทั้งในช่วงอดีตและปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นความจำเป็นถ้าไม่มีอำนาจดังกล่าวก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย เพราะมีความขัดแย้งต่าง ๆ มาก

“มีการวิจารณ์ว่ารัฐบาลใช้อำนาจดุเดือด เด็ดขาดเกินไปหน่อยนั้น ก็ต้องชี้แจงว่าใช้เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าให้ได้ วันนี้คนในประเทศก็ยอมรับได้ เพราะทุกคนอยากให้ประเทศชาติปลอดภัย ไม่ได้ต้องการหวังอย่างอื่น ส่วนจะมีใครไม่เข้าใจบ้างก็ไม่เป็นไรเพราะถือว่าคนไทยทั้งชาติเข้าใจผมก็มีกำลังใจที่จะทำงานต่อไปได้ ทั้งในส่วนของรัฐบาลและข้าราชการ”

             

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า หลังจากคสช.ลดบทบาทแล้วก็มีการแก้ปัญหาเรื่องความสงบเรียบร้อยละติดตามข่าวต่างๆ โดยมีการทำงานทั้งในส่วนของฐานของรัฐบาลและฐาน คสช. ซึ่งไม่ใช่เป็นการถ่วงดุลหรือล่าช้า แต่เป็นการทำงานแบบช่วยเสริมซึ่งกันและกันโดยคสช.คอยติดตามว่างานที่มีการสั่งการไปนั้นมีความคืบหน้าอย่างไรซึ่งรัฐบาลก็เดินหน้าทำงาน ปัจจุบันเรากำลังขับเคลื่อนเพื่อปฏิรูปประเทศไทย นั่นคือการทำใหม่ในทุก ๆ เรื่อง

ระยะแรกถือเป็นการระงับยับยั้งการแก้ปัญหาจากการที่รัฐบาลในอดีตมิอาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ระยะที่ 2 การประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว และการใช้งบประมาณปี 2558 และในปัจจุบันกำลังเดินหน้าขับเคลื่อนประเทศ โดยพยายามที่จะเดินหน้าดำเนินการต่าง ๆ เช่น การจัดระเบียบสังคม การวางรากฐานที่มั่นคงให้กับประเทศ ระยะที่ 3 หากรัฐธรรมนูญผ่านได้โดยไม่มีความขัดแย้ง ก็จะสามารถจัดเลือกตั้งได้ ฉะนั้นอยู่ที่ประชาชนทั้งประเทศจะเป็นผู้ตัดสินใจ อย่ามาพูดว่าตนดึงไว้เพราะอยากอยู่ต่อ ทั้งที่ตนไม่คิดอยากอยู่ต่อ ที่ผ่านมาเราได้มุ่งมั่นทุ่มเทแก้ปัญหาทั้งระบบ ส่วนเรื่องของเงื่อนไขเวลาไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ขอร้องว่าอย่ามากล่าวหาว่าตนต้องการดึงเพื่อที่จะให้รัฐบาลอยู่ต่อ เรื่องนี้อยู่ที่ประชาชนทั้งประเทศว่าจะตัดสินใจอย่างไรหรือต้องการให้กลับไปที่เก่า รัฐธรรมนูญใหม่ก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง มีบทเฉพาะกาล ไม่เช่นนั้นก็จะเหมือนเดิม

"ในส่วนของเงื่อนไขและระยะเวลาที่วางไว้ทั้งหมดยืนยันว่าไม่เคยไปเปลี่ยนแปลงใดแต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และขอยืนยันว่าไม่ต้องการอยู่ในอำนาจหรือแสวงหาผลประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่เคยได้ประโยชน์อะไรสักอย่าง ซึ่งก็ได้รับทั้งคำชมและตำหนิ ซึ่งตนไม่ถือเอามาเป็นอารมณ์ แต่ยอมรับว่าหงุดหงิดบ้าง ระยะแรกที่เราเข้ามาทำงานนั้นมุ่งมั่นและทุ่มเททั้งการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนให้กับประชาชนที่เดือดร้อน โดยเป็นการแก้ทั้งระบบทั้งระยะสั้นและระยะยาว

         

พล.อ.ประยุทธ์​ กล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลที่แถลงไว้มีทั้งสิ้น 11 ด้าน ก็เป็นไปตามเอกสารที่แจกจ่ายขอให้ทุกคนได้อ่านและทำความเข้าใจ เพราะถ้าไม่อ่านก็ไม่รู้เรื่องและไปเขียนวิพากษ์วิจารณ์ในทางที่ไม่ถูกต้องสื่อบางฉบับตนอ่านแล้วไม่ค่อยสบายใจ อีกส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของนิสัยคนไทย อะไรที่เกิดขึ้นใหม่ เช่นเรื่องของภาษีก็ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วย ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าเสียอะไรที่ไหน อย่างไรหรือจะประกาศใช้เมื่อไหร่ ก็ออกมาติไว้ก่อนซึ่งต้องแก้นิสัยตรงนี้ให้ได้ ต้องคิดให้ลึกซึ้งพิจารณาหาข้อสรุปก่อนที่จะตำหนิ ไม่เช่นนั้นก็จะไม่มีกำลังใจคิดอะไรใหม่ ๆ

                       

“เราทำงานเพื่อวันข้างหน้า ไม่ใช่แค่วันนี้ และที่สำคัญเราไม่ใช่รัฐบาลผูกขาด เรามีเงินเท่านี้ก็ใช้จ่ายเท่านี้ อย่างน้อยก็ไม่ไปสร้างภาระระยะยาวเหมือนที่ต้องรับมาในวันนี้”

       

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นิสัยที่ต้องแก้อีกอย่างของคนไทยคือการชอบสร้างวาทกรรมต่างๆ รวมทั้งการพาดหัวข่าวของสื่อบางฉบับ ซึ่งยอมรับว่าบางวันเห็นการพาดหัวข่าวแล้วก็โมโห หัวข่าวปกหน้า 1 นั้นดูไม่ดีแต่พอเปิดอ่านเนื้อข่าวด้านในสาระก็ดี ก็ไม่เข้าใจว่าไปเอาอะไรมาพาดหัวให้คนตกใจเล่น ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ ความมั่นคง อำนาจ ประชาธิปไตย ไม่รู้จะเอามาทำไมให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้น

                           

“ผมเรียนแล้วว่าพวกเราตั้งใจทำให้ประเทศชาติสงบ ปลอดภัย อย่างยั่งยืน เดินหน้าประเทศมีความเข้มแข็งในทุกภาคส่วน พูดจนไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว ซึ่งการทำงานต้องมีขั้นตอน ตัวอย่างราคาข้าวเกวียนละ 1.5 หมื่นบาท ก็มีวาทกรรมว่าเป็นการทำเพื่อประชาชน ซึ่งถ้าเป็นการทำจริงทุกคนก็พอใจ แต่ถ้าดูให้ดีวาทกรรมดังกล่าวที่บอกว่าทำเพื่อคนจนทำเพื่อเกษตรกรซึ่งมีแล้วมีอยู่เกือบ 10 ล้านคน ถ้าได้คนเหล่านี้กลับมาก็เป็นคะแนนเสียง ซึ่งผมไม่ได้ต้องการคะแนนเสียง แต่ต้องการทำให้ทุกคนมีอาชีพมีรายได้อย่างเหมาะสม แต่พอแตะเรื่องนี้ก็จะมีคนออกมาเลยว่าทำเพื่อคนจนไม่ได้หรือ อย่าลืมว่าประเทศไทยไม่ได้มีแต่เกษตรกร รัฐบาลต้องใช้งบประมาณไปทำอย่างอื่นด้วยซึ่งต้องดูทุกอย่างให้เข้มแข็ง เฉลี่ยให้ทั่วถึงอย่างยั่งยืน ซึ่งรัฐบาลปัจจุบันใช้แนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาโดยตลอด คือสอนให้คนเอาเบ็ดไปตกปลา ไม่ใช่สอนแบบให้ปลาไปกินพอปลาหมดก็ไม่รู้จะทำอย่างไร” พล.อ.ประยุทธ์​กล่าว

                    

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนนโยบาย 11 ด้าน บางคนบอกว่าทำไมเดินไปช้า ก็ลองคิดดูแล้วกันการเรียนหนังสือกว่าจะรู้เรื่อง เรียน ป.1 ป.2 ป.3 ยังอ่านหนังสือไม่ออก เร่งเกินไปก็จะเละเพราะไม่เข้าใจกัน ดังนั้นถ้าเดินต่อไปมันจะมั่นคงกว่า เดินอย่างมีแผนที่ดี มียุทธศาสตร์ที่ตรงกับความต้องการ เพื่อวันนี้เพื่ออนาคต แล้วเดินไปอย่างนี้ มันต้องช้าแต่มั่นคง ถ้าเจออุปสรรค เจอข้อติติงก็รอไว้หน่อย รัฐบาลจะต้องทบทวนว่าจะทำอย่างไร ทั้งเรื่องพลังงาน ภาษี เรื่องต่าง ๆ แต่มันต้องทำทั้งหมด ถ้ามีปัญหาในการทำเรื่องใดยังไม่เข้าใจกัน ก็ให้หยุดไว้ก่อน แต่ต้องทำ ส่วนจะทำอย่างไรก็ค่อยว่ากันอีกที อย่าเพิ่งเดือดร้อน อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ อย่าไปสร้างวาทกรรมก็แล้วกันว่าทำเพื่อคนนั้นคนนี้ รัฐมนตรีคนนั้นมีเรื่องนี้เรื่องนั้น ตนบอกแล้วว่ารัฐมนตรีทุกคนมาด้วยความตั้งใจอยากจะช่วยชาติ ต้องแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลแม้จะมาแบบนี้ เราก็ให้ความเป็นธรรม ให้โอกาสโต้แย้งได้ทุกวัน ชี้แจงได้ทุกวัน ตนฟังทุกเรื่อง ไปดูตัวอย่างในต่างประเทศเขาไม่มีให้พูดแบบนี้ ดังนั้นต่างประเทศต้องเข้าใจเราด้วย ต่างประเทศอย่าไปกังวล ตนให้ผู้หลักผู้ใหญ่ไปพูดคุยกับทูตทุกประเทศ เขาไม่เข้าใจหลาย ๆ เรื่องแต่วันนี้เข้าใจแล้ว และเขาก็ตอบไม่ได้ว่าถ้าเรื่องมันเกิดแบบนี้กับเขา เขาจะทำอย่างไร อันนี้เราไม่ได้ทะเลาะกับใครทั้งสิ้น เราพูดคุยกับคนทั้งโลกอยู่แล้ว ไม่คบกับผู้ร้าย ไม่คบกับผู้ทุจริต ถ้าเป็นคนดี เราคบหมด ไม่ว่าจะไทยหรือต่างประเทศ

                 

พล.อ.ประยุทธ์​ กล่าวว่า ดังนั้นเราต้องขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ ให้สัมฤทธิ์ผล เรามีการตั้งคณะกรรมการตั้งมากมาย คณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (กขย.) ที่มีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม ดูแลให้อยู่ โดยมีทหาร ตำรวจ ข้าราชการทุกพื้นที่ช่วยร่วมมือกัน ส่วนรัฐบาลมีคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล (กขร.) เรื่องการขับเคลื่อนเร่งรัดนโยบายรัฐบาล มีการติดตามทุกเรื่องว่าอะไรไปถึงไหน มีการรายงานตนทุกสัปดาห์ เป็นฐานข้อมูลให้ตนใช้สั่งการในครม.ลงไปแก้ไขปัญหาข้อติดขัด ข้อติดขัดบางอย่างก็ต้องใช้มาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว เพราะกฎหมายมันไปไม่ได้ เนื่องจากการแก้ไขกฎหมายยังทำไม่เสร็จ ยังไม่ผ่านสนช. และหากผ่านการพิจารณาของสนช.วาระที่ 3 แล้ว ก็ต้องทิ้งช่วง 60 วัน 90 วันแล้วจึงมีผลบังคับใช้ ต้องเข้าใจด้วยว่ามีการเสนอร่างกฎหมายเข้ามาทุกวัน ยังไม่ได้ออกมาทั้งสิ้นถ้าตราบใดที่ยังไม่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯลงมา และยังไม่มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพราะฉะนั้นอย่าไปวิตกกังวล เดี๋ยวมันก็แก้กันไป เสนอเข้าสนช.แล้วไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะออกมาถ้ายังขัดแย้งกัน ไม่ตรงกันอยู่ แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่ปกติ

                   

“ดังนั้นเรื่องวาทกรรรมอย่าพูดอีกว่า“ทำเพื่อคนจน ถ้าเสียเงินเท่าไหร่ก็ต้องยอม” หรือพูดว่า “คนจนจะมีรถขับคันแรกไม่ได้บ้างหรือ” ตนขอถามว่าแบบนี้พูดทำไม การบอกว่าทำให้ส่งออกรถยนต์ได้มากๆตามที่ต้องการ นั่นคือความผิดพลาดที่มันเกิดขึ้น มันไม่ใช่ความต้องการที่แท้จริง ไม่มีกำลังที่จะผ่อนได้ รัฐบาลตอนนั้นก็ให้ไปก่อน 1 แสนบาท ตนถามบางคนว่าทำไมไม่ผ่อนต่อ เขาบอกว่าตอนนั้นอยากได้เงิน 1 แสนบาท แล้วอย่างนี้กลายเป็นภาระให้กับรัฐบาลปัจจุบันต้องหาเงินไปใส่ อีกทั้งทำให้กลไกระบบการตลาดของอุตสาหกรรมรถยนต์ของเรามีปัญหา ทำไมไม่ดูเหตุการณ์ ดูเหตุผลของตนบ้าง” นายกรัฐมนตรี กล่าว

              

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วาทกรรมอีกอย่างที่ว่าตนอยากอยู่ในอำนาจ อำนาจของตนคืออำนาจในการบริหารงานเพื่อให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ ขับเคลื่อนประเทศ นี่คืออำนาจของรัฐบาลนี้ด้วย รัฐบาลไม่ได้ใช้อำนาจอื่นเลย เว้นแต่คนที่ประกาศแล้วว่าผิดตรงนั้นตรงนี้ ต้องเข้าสู่ศาล กระบวนยุติธรรม แล้วก็จะมาต่อต้านหรือบอกว่าถูกรังแก คนพวกนี้ขอเลิกเสียที

             

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีรัสเซียมาเยือนไทย ก็มีคนบอกว่าตนเดินตามรัสเซีย แต่เมื่อรองนายกรัฐมนตรีไปจีน ก็มีคนไปบอกว่าจะไปทางจีน ทั้งที่เราดำเนินงานต่างประเทศกับทุกประเทศ ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ทางการทหารนั้น ยืนยันว่าไม่ว่าจะทะเลาะเบาะแว้งกันขนาดไหน แต่ความสัมพันธ์ทางด้านทหารมันมีอยู่แล้ว การซื้ออาวุธก็เป็นเรื่องจำเป็น มีไว้ให้คนอื่นเกรงใจเราบ้าง ต้องทำให้เขาเห็นว่าเรามีศักยภาพ การมีอาวุธไม่จำเป็นที่จะต้องรบกัน แต่เกื้อหนุนทั้งทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจเพื่อความมั่นคง นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการดูแลประชาชนทุกกลุ่ม เช่น การเพิ่มเบี้ยความพิการ การให้เงินอุดหนุนเลี้ยงดูเด็ก ตลอดจนส่งเสริมงานด้านกระบวนการยุติธรรม สร้างการมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรม รวมถึงการตั้งคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาเพื่อขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต นอกจากนี้ยังเดินหน้าสร้างความสัมพันธ์กับทุกประเทศเพื่อความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง ตั้งแต่ช่วงที่มีการรัฐประหารตั้งแต่เดือน พ.ค.2557 เศรษฐกิจดีขึ้นกว่าช่วงที่มีการชุมนุมขึ้นมาก โดยช่วงต้นปี 2557 พบว่าเศรษฐกิจซบเซา แต่รัฐบาลนี้ทำให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 และ 3 ของปี 2557 เริ่มกลับมาขยายตัวร้อยละ 0.4 และ 0.6 ตามลำดับ ก่อนจะขยายตัวร้อยละ 2.3 ในไตรมาส 4 และในช่วงไตรมาสแรกของปี 2558 นี้พบว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเติบโตขึ้นกว่าร้อยละ 23 อีกทั้งได้มีการมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้แทนหาตลาดใหม่ตามต่างประเทศ จะต้องดูว่ามีสินค้าอะไรที่สามารถนำไปขายเพิ่มหรือแปรรูปพัฒนามูลค่าได้ ทั้งนี้รัฐบาลกำลังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นอยู่ ส่วนการเกษตรนั้นจะต้องมีการจัดระบบสหกรณ์และขึ้นทะเบียนเกษตรกรเพื่อจัดระเบียบใหม่ ขณะที่เรื่องของแรงงาน เราต้องปรับทักษะแรงงานให้สามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้

                  

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงการที่นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด รับซื้อข้าวในราคาเกวียนละ 15,000บาท แล้วนำไปจำหน่ายโดยใช้ชื่อว่าข้าว “ลายจุด” ราคาถุงละ 200 บาท ว่า ส่วนตัวมองว่าคงทำไม่ได้จริงและไม่รู้ด้วยว่าข้าว “ลายจุด”นั้นมีทะเบียนการค้าถูกต้องหรือไม่

           

นายกฯ กล่าวว่าตนตั้งข้อสังเกตถึงการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลเก่าที่มีการคงค้างกว่าแสนล้านบาทนั้น เขาอ้างว่าเป็นเพราะมีประท้วง ตนสงสัยว่าทำไมตอนนั้นไม่ปรับไปใช้อย่างอื่น หรือรัฐบาลเก่าต้องการเก็บเงินจำนวนนี้ไปใช้ในการเลือกตั้งหรือไม่ ตอนนี้ตนจึงให้เอาไปทำโครงการน้ำ การศึกษาเป็นเรื่องใหญ่ ตอนนี้เด็กมีคะแนนสอบดีขึ้น แต่ยังต้องลดปัญหาการขาดแคลนครู พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อใช้ในโรงเรียนที่ไม่ค่อยมีครู เด็กวันนี้เขียนหนังสือต่อเนื่องไม่ค่อยเป็น ไม่ได้สาระ จึงต้องสอนให้รู้จักการย่อความ จับประเด็นสำคัญ เพื่อจะได้รู้จักคิดมากขึ้น เราอยากให้คิดร่วมกันว่าปัญหาในประเทศไทยมีจริงหรือไม่อย่างที่ตนพูดหรือไม่ ถ้ามีจริงแล้วจะแก้ไขกันอย่างไร ตนไม่ต้องการมาทำร้ายทำลายใคร ไม่ทำร้ายประเทศ แต่คนอื่นที่สร้างความขัดแย้งเขาอยากจะทำลายประเทศไปถึงไหน คนไทยบังคับกันไม่ได้ ตนจึงต้องขอความร่วมมือจากทุกคน

                                  

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนเทศกาลสงกรานต์ปีนี้มีประชาชนออกมาเล่นสงกรานต์กันจำนวนมาก แม้รัฐบาลออก 8 มาตรการ เช่น ห้ามแต่งตัวโป๊เปลือย ดื่มสุรา เป็นต้น แต่ยังมีการแต่งตัวโป๊เปลือย ซึ่งเดิมปรับแค่คนละ 100 บาท จากนี้ไปไม่เอาแล้ว ตนจะเสนอต่อที่ประชุมครม.ให้เพิ่มค่าปรับพวกแต่งตัวโป๊เปลือย เสพยาเสพติดแล้วไปเต้นโวช์ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่วัฒนธรรมไทยส่วนการปฏิรูป หลายประเทศใช้เวลา 30-40 ปี แต่ของไทย บางคนมาถามว่าอยู่นั้นว่าเสร็จแล้วหรือไม่ เสร็จเมื่อใด ทั้งที่เริ่มทำมาแค่ 6 เดือนเอง แต่ต่างประเทศเข้าใจเราแล้ว ขณะที่เรื่องมาตรา 112 ต่างประเทศก็เข้าใจเราแล้วเช่นกัน และคนที่ถูกจับในความผิดมาตรานี้ก็มีหลักฐานการทำผิดชัดเจน แต่ยังมีบางคนก็ไปให้ท้ายเขา ไปแฝงตัวในเฟซบุ๊ก ทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด ไปพูดผ่านเฟซบุ๊ก

              

“คน 60 กว่าล้านคนอยากเห็นบ้านเมืองเดินไป แต่รัฐบาลทำอย่างเดียวไม่ได้ มันต้องไปทั้งรัฐบาล ข้าราชการ ประชาชน ต้องช่วยกันทั้งหมด ใครที่ว่าอะไรเรามา ถือเป็นแรงใจให้ผม ยิ่งว่าผม ผมยิ่งทำมากขึ้น มีแรงมากขึ้นกว่าเดิม เข้มงวดมากขึ้นทั้งในเรื่องกฎหมาย เรื่องที่ต้องแก้ไข ดังนั้นถ้ายิ่งว่า ผมยิ่งสู้ ยิ่งมีกำลังใจ พักผ่อนมา 5 วันแล้ว พร้อมสู้ทุกอย่าง”นายกรัฐมนตรี กล่าว

            

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปหลังจากที่รองนายกรัฐมนตรี ได้รายงานผลการดำเนินงานในส่วนที่รับผิดชอบแล้ว โดยกล่าวว่า การสื่อสารทุกวันนี้ยังมีปัญหา โดยเฉพาะการสื่อสารภายในประเทศซึ่งต้องช่วยสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้น ไม่ควรนำเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องไปโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้คนอื่นมาเล่นงานเรา คนไทยด้วยกันต้องรักคนไทยและประเทศไทยช่วยกันแก้ไขปัญหา ซึ่งถ้าเราไม่มีปัญหาใครจะมาทำอะไรได้ วันนี้สื่อต้องช่วยกัน หนังสือพิมพ์ต่างประเทศใหญ่ไม่มีใครนำเสนอเรื่องรุนแรง ฆ่ากันตาย หรือตามล่าหาควายเผือก ตนไม่เข้าใจสื่อบ้านเรามักลงเรื่องที่ไร้สาระ พอตนพูดก็กล่าวหาว่าปกปิด ต่างประเทศเขาก็มีปัญหาเช่นเดียวกับไทยเพียงแต่ไม่เปิดเผยออกมาเพราะเกิดผลเสีย วันนี้จากผลสำรวจชาวต่างประเทศต้องการมาอยู่ประเทศไทย โดยมีเหตุผลว่าประเทศไทยน่ารัก น่าอยู่ คุณภาพชีวิตดี สงบสันติ คนไทยมีผู้หญิงสวย ติด อันดับ1ใน10 ของโลก ต้องช่วยกันสร้างให้ประเทศไทยเป็นเมืองท่องเที่ยง น่าอยู่และปลอดภัย มีพลเมืองที่มีน้ำใจ ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทยก็ยังดีอยู่

             

“อยากฝากทุกคนพิจารณาคำพูดที่ว่า ไม่มีประเทศใดหรือระบอบการปกครองใดที่จะทำใประเทศชาติสงบและสันติได้ หากประเทศนั้นมีเสรีภาพไร้ขีดจำกัด ไม่เคารพกฎหมาย แม้รอบบประชาธิปไตยที่มีคุณภาพและธรรมาภิบาลก็ไม่สามารถทำให้ประเทศดีขึ้นมาได้ สิ่งที่ผมทำมาทั้งหมดก็เพื่อประเทศชาติ ทุกคนจะต้องมีสิทธิ เสรีภาพและหน้าที่มีต่อชาติบ้านเมือง ต่อคนไทยด้วยกัน ไม่ใช่มีหน้าที่ไม่เคารพกฏหมาย มีเสรีภาพไร้ขีดจำกัดจะกวนใครก็ได้ เราต้องช่วยกันทำให้ประเทศชาติมีความสงบสุข” พล.อ.ประยุทธ์​กล่าว

           

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โดยสรุปการทำงานของเราในช่วง คสช.ใช้กฎอัยการศึกใช้กฎหมายปกติ ใช้ พ.ร.บ.บริหารราชการแผ่นดิน และให้อำนาจทหารเข้าไปเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานในทุกกระทรวง ทบวงกรมได้ จับกุมดำเนินคดีกับผู้ที่ทำผิดกฎหมายให้ทันเวลา หลังจากนั้นเป็นช่วงที่สอง ในการเข้ามาเป็นรัฐบาล วันนี้มีการแก้ไขโดยนำเอามาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวมาแทน ให้ทำหน้าที่ได้เหมือนเดิม่ได้ไปละเมิดสิทธิ์ใครทั้งสิ้น เป็นการนำมาใช้แทนการใช้กฎอัยการศึกที่มีถึง 17 มาตรา ดังนั้น สื่อไม่ต้องกลัวถ้าไม่ได้ไปทำความผิดอะไร อย่าคิดเอาแต่ได้กันฝ่ายเดียว

        

พล.อ.ประยุทธ์​กล่าวในช่วงท้ายว่า สิ่งที่ต้องคิดต่อไปคือผังเมือง ให้มีความชัดเจนว่าจจะต้องทำอย่างไร เสียภาษีแค่ไหน จะต้องวางหลักการให้เสร็จ โดยใช้ระบบ Gistda หรือ ดาวเทียมม ของกระทรวงวิทยาศาสตร์ มาใช้สำรวจ นอกจากนี้ ตนยังคือในเรื่องของสถาปัตยกรรมไทย บนถนนสายต่างๆ หรือบนที่อยู่อาศัย ให้เกิดความสวยงามและเป็นการอนุรักษ์สิ่งที่เป็นไทยไว้

                 

"วันนี้การใช้มาตรา 44 ก็ต้องการทำหรือแก้ไขในสิ่งที่จะไม่ทันการ เพราะถ้าต้องรอสนช.ในกฎหมายที่เกี่ยวข้องก็คงไม่ทันต่อสถานการณ์ ถือเป็นความจริงใจของรัฐบาลที่ต้อการแก้ไขปัญหาทั้งหมดที่มีอยู่ เราเป็นข้าฯแผ่นดินในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ข้าราชการ คนที่เป็นข้าราชการทุกคนต้องทำงานดูแลต่างพระเนตรพระกรรณ มีเกียรติยศสักดิ์ศรี ดูถูกกันไม่ได้ คนไม่ดีก็ต้องถูกลงโทษ แต่คนดีก็ต้องให้กำลังใจ หากจะเล่นงานก็พวกทุจริตซึ่งเรื่องอยู่ในชั้นศาล