'ปธ.รัฐสภา' หวัง แก้รธน. ได้สำเร็จ เพื่อเพิ่มสิทธิ์-เสียงประชาชน

ที่รัฐสภา นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา กล่าวถึงการประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ นัดพิเศษ  วันที่ 10- 11 ธ.ค. เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ที่คณะกรรมาธิการพิจารณาแล้วเสร็จในวาระสอง ว่า ร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขวิธีกาแก้ไขรัฐธรรมนูญมีไม่กี่มาตรา แต่มีรายละเอียดย่อย ซึ่งกมธ.ต้องชี้แจงในรายละเอียด ว่าที่ได้พิจารณามานั้นเป็นอย่างไรและแตกต่างจากเนื้อหาวาระแรกอย่างไร จากนั้นจะให้สมาชิกรัฐสภาอภิปราย ทั้งนี้การพิจารณาในวาระสองไม่สามารถกำหนดเวลาตายตัวได้ว่าจะใช้เวลาเท่าใด เพราะขึ้นอยู่กับการสงวนความเห็นของกรรมาธิการ และการแปรรญัตติของสมาชิกรัฐสภา หากประเด็นใดที่กมธ.ชี้แจงแล้วสมาชิกรัฐสภาตอบรับ หรือไม่ติดใจ การพิจารณาจะผ่านไปได้เร็ว  แต่หากไม่เห็นด้วยต้องลงมติ

นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวต่อว่าสำหรับการลงมติในวาระสามนั้น ตามรัฐธรรมนูญกำหนดให้ทำหลังจากพ้นเวลา 15 วันแล้ว เพื่อให้สมาชิกคิดให้รอบคอบ ดังนั้นหากการพิจารณาวาระสองแล้วเสร็จในวันที่ 11 ธ.ค. ระยะพ้น 15 วันจะอยู่ในวันที่ 26 ธ.ค. ซึ่งวันดังกล่าวไม่ใช่วันประชุมสภาฯ ดังนั้นวันที่จะพิจารณาถัดไป คือประมาณวันที่ 29 ธ.ค. ส่วนกรณีที่พรรคฝ่ายค้านเสนอให้ลงมติในวันที่ 27 ธ.ค. ซึ่งเป็นวันหยุดประจำสัปดาห์นั้นต้องหารือความพร้อมของสมาชิกรัฐสภาอีกครั้ง

“เรื่องรัฐธรรมนูญสำคัญที่สุด อยากให้ทุกคนลงมติโดยพร้อมเพรียงกันให้มากที่สุด ดังนั้นต้องหารือ ถึงความพร้อมด้วย อีกทั้งการลงมติวาระสามต้องลงคะแนนโดยเปิดเผย ขานชื่อป็นรายบุคคล ซึ่งการนัดหมายต้องสอบถามความเห็นสมาชิก แต่หากวันประชุมหากไม่มาเป็นความรับผิดชอบของเขา แต่ในวันที่ไม่ใช่วันประชุมต้องหารือความพร้อม” นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าว

ประธานรัฐสภา ยังกล่าวถึงวันที่ 10 ธ.ค. ซึ่งเป็นวันรัฐธรรมนูญ ด้วยว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย จึงอยากให้ความสำคัญกับรัฐธรรมนูญ ที่ผ่านมาประเทศไทยเรามีรัฐธรรมนูญมาแล้ว 20 ฉบับ เพราะเมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแล้ว พบการฉีกรัฐธรรมนูญบ่อยครั้ง ทำให้ความขลังความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญอาจจะไม่เหมือนกับมีฉบับเดียว

“อยากให้ประชาชนทุกคนรักแล้วหวงแหนการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด ผมหวังว่าในวันรัฐธรรมนูญที่มีการประชุมรัฐสภาเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากแก้ไขสำเร็จตามที่สมาชิกรัฐสภาต้องการ เพื่อให้มีการกระจายอำนาจ มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีประชาชนมีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้น ไม่ใช่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมีสิทธิ์เฉพาะขึ้นมา” ประธานรัฐสภา กล่าว