'ธนาธร' ยก 'ก้าวไกล' ชนะเลือกตั้ง พิสูจน์การเมืองใหม่เป็นไปได้

'ธนาธร' ยก 'ก้าวไกล' ชนะเลือกตั้ง พิสูจน์การเมืองใหม่เป็นไปได้

'ธนาธร' ร่วมบรรยายหลักสูตร ปปร.สถาบันพระปกเกล้า ชี้ปัญหาการเติบโตเศรษฐกิจ แนะเร่งเปลี่ยนปัญหาสังคมเป็นดีมานด์ ใช้การลงทุนภาครัฐ สร้างเทคโนโลยีของตัวเอง ลั่นจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไทยไม่เป็นประชาธิปไตย ยก 'ก้าวไกล' ชนะเลือกตั้ง พิสูจน์การเมืองแบบใหม่เป็นไปได้

เมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2566 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า รับเชิญเป็นวิทยากรบรรยายหลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่นที่ 27 (ปปร.27) โดยสถาบันพระปกเกล้า ผู้เรียน 140 คนจากหลากหลายที่มา ทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน นายทหารระดับสูง รวมถึง สส. และ สว. หลายคน สำหรับการบรรยายวันนี้ เป็นไปภายใต้โจทย์ “การเมืองใหม่ในโลกปัจจุบัน” 

นายธนาธร เริ่มต้นการบรรยายถึงความท้าทายที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ทั้งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ที่ต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยของโลกหลายปีติดต่อกัน ความเหลื่อมล้ำและช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน ที่ 3 ครั้งล่าสุดที่จัดอันดับ ประเทศไทยอยู่ใน 5 อันดับแรกของประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำที่สุด รวมถึงปัญหาใหญ่ที่มีแนวโน้มที่จะรุนแรงขึ้นในอนาคต นั่นคืออัตราการเกิดของประชากร ซึ่งสาเหตุนั้นผูกผันกับปัญหาความเหลื่อมล้ำอย่างแยกไม่ได้ ประชากรวัยทำงานมีแนวโน้มต้องทำงานหนักขึ้น เพียงเพื่อให้ประเทศไทยยังยืนที่เดิมในด้านผลิตภาพ และการดูแลประชากรผู้สูงอายุที่มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้

\'ธนาธร\' ยก \'ก้าวไกล\' ชนะเลือกตั้ง พิสูจน์การเมืองใหม่เป็นไปได้

ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวว่า ความท้าทายของประเทศไทยวันนี้ คือการออกจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ซึ่งตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา หรือในปี 2507 ประเทศไทยและหลายประเทศในเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ และมาเลเซีย เริ่มต้นที่จุดเดียวกัน แต่วันนี้เกาหลีใต้มีรายได้ต่อหัวประชากรเฉลี่ยห่างจากไทยไปถึง 4-5 เท่าแล้ว มาเลเซียเกือบ 2 เท่าของเราแล้ว คำถามคือภายใต้ภาวะปัญหาเช่นนี้ เราจะจัดการกับอนาคตประเทศไทยอย่างไร โดยแนวโน้มของโลกวันนี้ เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ที่ประเทศไทยไม่มีทางต่อต้านขัดขืนหรือหลีกเลี่ยงได้ เช่น รถยนต์ไร้คนขับ ระบบเอไอ แต่ในสภาพปัจจุบันที่ประเทศไทยเติบโตช้ากว่าเพื่อน ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสูง เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว ภายใต้เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยแข่งขันกับโลกไม่ได้ และโจทย์สำคัญอีกประการ คือจะหางานให้คนจบใหม่ และทดแทนคนทำงานที่เกษียณไปทุกปีได้อย่างไร เพราะอุตสาหกรรมที่พาประเทศไทยมาถึงวันนี้ ทั้งยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ มาถึงทางตันแล้ว ทำให้ไม่เกิดการจ้างงานใหม่ๆ คำตอบคือต้องมีการสร้างห่วงโซ่อุปทานใหม่ด้วยการสร้างเทคโนโลยี 

หลังจากนั้นนายธนาธรได้ยกตัวอย่างถึงงานที่คณะก้าวหน้าได้ทำร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่ง เช่น การทำน้ำประปาดื่มได้ ที่เทศบาลตำบลอาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด ที่ทำให้ดื่มได้ไปแล้ว ทำ IoT ไปแล้ว และขั้นต่อไปคือการลดปริมาณน้ำที่สูญเสียจากระบบท่อรั่วหรือแตก แม้นี่จะดูเป็นเรื่องเล็ก แต่ปัญหาน้ำประปาเป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ของประเทศไทย แต่ในขณะเดียวกันก็คือโอกาสที่เราจะแก้ปัญหาหลายเรื่องไปพร้อมกันได้ 

\'ธนาธร\' ยก \'ก้าวไกล\' ชนะเลือกตั้ง พิสูจน์การเมืองใหม่เป็นไปได้

"เพียงน้ำประปาแค่เรื่องเดียวสามารถสร้างห่วงโซ่อุปทานจำนวนมหาศาล นำปัญหาสังคมเป็นตัวตั้ง แปรเป็นอุปสงค์ ใช้การลงทุนภาครัฐมาผลักดันอุตสาหกรรมใหม่ สร้างงาน และสร้างเทคโนโลยีในประเทศ เพื่อแก้ปัญหาความท้าทายจากโลกในปัจจุบันให้ประเทศไทยได้ด้วย นี่คือทิศทางที่ทั่วโลกกำลังเดิน และถ้าไม่ลงทุนสร้างตั้งแต่วันนี้ ในอนาคตไทยก็จะยังคงต้องเป็นผู้นำเข้าเทคโนโลยีแบบนี้ต่อไป" นายธนาธร กล่าว

นายธนาธร กล่าวว่า อย่างไรก็ตามความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และเทคโนโลยี จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อประเทศมีสถาบันการเมืองที่มั่นคง เสมอต้นเสมอปลาย อย่างเช่นกรณีของเกาหลีใต้ที่ตนได้พูดถึงไป เมื่อมีการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย หลังจากที่ประชาชนลุกขึ้นต่อต้านการทำรัฐประหารในปี 1978 จนผู้นำเหล่าทัพแพ้ หลังจากนั้นไม่มีรัฐประหารอีกเลย และเป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวกระโดดของประเทศมานับตั้งแต่นั้น

"สิ่งสำคัญก็คือรัฐธรรมนูญ หรือกฏกติกาสำหรับการอยู่ร่วมกัน การที่ประเทศไทยมีการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญเฉลี่ยทุก 4.5 ปี แสดงให้เห็นว่าเรายังไม่มีฉันทามติร่วมกันว่าจะอยู่ร่วมกันภายใต้กติกาอย่างไร และตราบใดที่เรายังไม่ได้สถาปนารัฐธรรมนูญที่มีความมั่นคง ให้ประชาชนได้เรียนรู้ถูกผิดตามระบอบประชาธิปไตย ประเทศไทยก็ไม่สามารถก้าวหน้าไปได้ วันนี้มันสายไปแล้วที่จะเลือกทางเดินอื่น ประชาธิปไตยไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางออกเดึยว ประเทศไทยมาไกลเกินกว่าที่จะไม่เป็นประชาธิปไตยแล้ว" ประธานคณะก้าวหน้า กล่าว

นายธนาร กล่าวถึงความสำเร็จของพรรคก้าวไกล ในฐานะการเมืองแบบใหม่ที่เป็นไปได้ว่า ตัวเลข 36.4% ที่พรรคก้าวไกลได้จากการเลือกตั้งไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ที่หลายคนบอกว่าพรรคก้าวไกลเก่งเรื่องการทำสื่อโซเชียลนั้นตนเห็นว่าจริงแค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งคือการทำงานอย่างหนักตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ทำในสิ่งที่หลายคนไม่เห็น ไม่ใช่การเมืองเพื่อตำแหน่ง ลาภยศชื่อเสียง ต่อให้เป็นฝ่ายค้านแต่พรรคก้าวไกลก็ทำอะไรได้เยอะมาก พรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้งมาได้ด้วยการทำการเมืองแบบนี้ ด้วยความอยากเห็นการเมืองแบบที่รับใช้ประชาชน ไม่ได้มองว่าเป็นผู้ที่สูงส่งกว่าคนทั่วไป

\'ธนาธร\' ยก \'ก้าวไกล\' ชนะเลือกตั้ง พิสูจน์การเมืองใหม่เป็นไปได้

นายธนาธร กล่าวด้วยว่า อีกอย่างที่สำคัญ คือที่มาของเงินที่ใช้ พรรรคก้าวไกลยึดมั่นในสิ่งเดียวกับพรรคอนาคตใหม่ คือการขอเงินคนละ 100-200 บาทจากประชาชนเป็นล้านๆ มากกว่าจะขอเงิน 100-200 ล้านบาทจากนายทุนไม่กี่คน นี่คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้พรรคก้าวไกลตัดสินใจได้อย่างเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง ไม่มีนายทุนมาล็อบบี้ได้ ซึ่งประเทศไทยจะไม่สามารถพัฒนาหลุดพ้นจากความท้าทายที่ตนพูดถึงไปข้างต้นได้เลย หากไม่มีการเมืองที่ทำเช่นนี้ เพราะจะมีผู้เสียประโยชน์จากการพัฒนามาล็อบบี้ขอให้เลิกหรือคอยขัดขวางตลอดเวลา

“สิ่งที่ทั้งเสื้อแดงและเสื้อเหลืองพูดถูก คือประเทศไทยไม่เป็นประชาธิปไตย และคอร์รัปชันเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ เราไม่จำเป็นต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ประเทศไทยเป็นประเทศที่คอร์รัปชันน้อย แต่ก็เป็นประชาธิปไตยได้ คนที่เกลียดการคอร์รัปชันไม่ควรหันไปใช้การรัฐประหาร ส่วนคนที่เชื่อประชาธิปไตย ก็ต้องยอมรับว่าการคอร์รัปชันเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศจริง” นายธนาธร กล่าว