‘ภูมิธรรม’ปัด ‘อุ๊งอิ๊ง’ นั่งหัวหน้าพรรค-ชี้มีคนเหมาะหลายคน

ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค พท. กล่าวถึงวาระการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ชุดรักษาการในวันนี้ ว่า จะพิจารณาวาระหลัก 2 เรื่อง คือ 1.หลักเกณฑ์และคุณสมบัติการคัดเลือกทำหน้าที่ประธานกรรมาธิการ (กมธ.) และ กมธ.ของสภาผู้แทนราษฎร เพื่อจัดสรรให้ตรงกับความรู้ความสามารถ ขณะนี้การตกลงของสภา ยังไม่เรียบร้อย และ 2.การกำหนดวันเลือกตั้ง กก.บห.ชุดใหม่ ซึ่งตามกฎหมายจะต้องดำเนินการภายใน 60 วัน คาดว่าจะจัดขึ้นราวปลายเดือน ก.ย.หรือต้นเดือน ต.ค.นี้

เมื่อถามถึงกระแสข่าวการเสนอชื่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัว พท. อาจดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค พท. นายภูมิธรรมกล่าวว่า ไม่ได้เห็นกระแสข่าวดังกล่าว ซึ่งพรรค พท. มีบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมหลายคน โดยจะต้องรับฟังความเห็นจากคนในพรรค พท. เชื่อว่าจะมีผู้ถูกเสนอชื่อมากกว่านี้ และยินดีรับฟังความเห็น

เมื่อถามถึงกระแสข่าว น.สพ. ชัย วัชรงค์ จะดำรงตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกฯ นายภูมิธรรมกล่าวว่า โดยกรอบ ตำแหน่งโฆษกเป็นของพรรค พท. และรองโฆษกเป็นของพรรคร่วมรัฐบาล ขณะนี้ยังไม่ได้คุยรายละเอียดงานในกระทรวงที่รับผิดชอบ รวมถึงนายกฯยังไม่ได้มีการแบ่งงานให้กับรองนายกฯ

เมื่อถามถึงในการแถลงนโยบายในสัปดาห์หน้าของรัฐบาลว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ได้มอบเล่มนโยบายให้รัฐมนตรีแต่ละคนไปพิจารณา ซึ่งพรรค พท. ได้วางกรอบหลักไว้ และได้การยอมรับจากพรรคร่วมรัฐบาล หากนโยบายของพรรคร่วมไม่ได้ขัดกับกรอบหลักก็สามารถที่จะนำมาปรับเพิ่มเติมได้ หากนายกฯได้อ่านแถลงนโยบายเสร็จสิ้นก็ถือว่าการแถลงนโยบายจบ ย้ำว่ายินดีรับฟังความเห็นจากฝ่ายค้านที่จะอภิปราย

“กรอบนี้เป็นกรอบใหญ่ที่ครอบคลุมทุกประเด็นที่เราหาเสียงไว้ และพรรคร่วมต่างๆ ได้หารือร่วมกัน ไม่ขัดต่อกรอบที่ได้พูดคุยกันไว้ ส่วนรายละเอียดอาจจะใช้เวลาของสภามากเกินไป จึงคิดว่ากำหนดไว้ในการอภิปราย 2 วันน่าจะเหมาะสม ส่วนรายละเอียดอันไหนขาดความชัดเจนก็ไปสอบถามจากรัฐมนตรีแต่ละกระทรวงได้ทุกคนสามารถชี้แจงได้ ไม่มีอะไรน่ากังวล” นายภูมิธรรมกล่าว

เมื่อถามถึงการแบ่งโควต้า กมธ.ของสภาที่พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ต้องการนั่งเป็นประธาน กมธ. ป.ป.ช. เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบฝ่ายบริหาร นายภูมิธรรมกล่าวว่า อยู่ที่สภาและวิปแต่ละฝ่ายที่ตกลงกันได้ และหารือกับรองประธานสภาที่รับผิดชอบ ย้ำว่าไม่มีหลักปฏิบัติที่เป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงทุกยุคทุกรัฐบาล แต่อยู่ที่ประชุมของพรรคการเมืองเห็นพ้องต้องกันอย่างไร ซึ่งบางครั้งก็พูดด้านเดียวว่าเคยปฏิบัติ แบบนี้ไม่เคยปฏิบัติแบบนี้ แสดงว่ามีความคิดเพื่อแฝงซ่อนเร้นซึ่งไม่ใช่เช่นนั้น แต่เป็นการตกลงด้วยความพอใจของทุกฝ่าย ย้ำว่าเป็นเรื่องของรัฐสภาที่จะต้องตกลงกันให้ได้ ซึ่งฝ่ายบริหารไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง