นายกฯ ‘ประชานิยม’ กับการบริหารงบประมาณ

จากการประชุมรัฐสภาวันนี้ นายกฯ คงไม่ได้มาจากพรรคที่ชนะมาเป็นอันดับหนึ่งอย่าง "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" ก็ต้องติดตามต่อไปว่าพรรคอันดับสองอย่างเพื่อไทยจะเสนอชื่อใคร แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าไม่ว่าใครจะขึ้นมาบริหารประเทศก็ต้องคำนึงถึงนโยบายที่เคยหาเสียงเอาไว้โดยเฉพาะนโยบายรูปแบบ "ประชานิยม" ที่ต้องสอดคล้องกับ "งบประมาณ"
และแล้ว “นายกรัฐมนตรีคนที่ 30” ของประเทศไทยก็ไม่ได้ชื่อ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” จากพรรคก้าวไกล แม้ว่าจะได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1 เพราะการได้มาซึ่งตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ว่าผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจะต้องมาจากพรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งอันดับ 1 และได้รับเสียงรับรองครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรหรือ 372 เสียงและไม่เห็นด้วยที่จะให้เสนอ “พิธา” เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2 ถึง 392 เสียง และวันเดียวกันศาลรัฐธรรมนูญยังมีมติให้ “พิธา” หยุดการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. อีกด้วย ซึ่งขั้นตอนต่อไปต้องเป็นโอกาสของ “พรรคเพื่อไทย” ที่ได้คะแนนอันดับ 2 เสนอชื่อ “นายกรัฐมนตรี”
ซึ่งแคนดิเดต "พรรคเพื่อไทย” จะเสนอชื่อบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรี มีทั้ง “เศรษฐา ทวีสิน” และ “แพรทองธาร ชินวัตร” และเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ว่ากันว่ามีความเป็นไปได้ด้วยว่าพรรคเพื่อไทยอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเอ็มโอยูที่ 8 พรรคการเมืองเดิมลงนามไว้ด้วย รวมทั้งเปลี่ยนแปลงสูตรพรรคร่วมรัฐบาลใหม่ ดึงพรรคการเมืองอื่นเข้ามาร่วม ทั้งหมดล้วนสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น แต่ผู้ที่เสนอชื่อให้มารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จะต้องได้คะแนนเสียงรับรองจากสภาผู้แทนราษฎรครึ่งหนึ่งตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
ทว่าปฏิเสธไม่ได้ว่าพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนล้วนใช้นโยบาย “ประชานิยม" เมื่อได้เป็นรัฐบาลจะต้องจัดสรรงบประมาณมาดำเนินการตามนโยบายที่หาเสียงไว้ โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยที่เน้นไปทางประชานิยม ขณะที่กระทรวงการคลังประเมินความสามารถในการใช้จ่ายเงินของรัฐบาลทั้งในส่วนของการใช้จ่ายตามมาตรา 28 ตามกรอบ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง และเพดานการก่อหนี้สาธารณะ พบว่าเหลือพื้นที่การใช้จ่ายค่อนข้างจำกัดใกล้เต็มเพดานที่ 32 % ของวงเงินงบประมาณรายจ่าย
ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 2566 วงเงินคงเหลือตามมาตรา 28 อยู่ที่ประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท จึงอาจไม่เพียงพอที่จะดำเนินกิจกรรมใดๆ ของรัฐบาลในปีงบประมาณ 2566 ส่วนงบกลางปี เหลือวงเงินให้ใช้ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท จากที่ตั้งไว้ 9.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาการดำเนินนโยบายของรัฐบาลตามที่ได้หาเสียงไว้ ส่วนใหญ่จะเป็นการดูแลเศรษฐกิจระดับรากหญ้า โดยใช้แบงก์รัฐสำรองจ่ายเงินไปก่อน เช่น โครงการประกันรายได้ โครงการจำนำพืชผลการเกษตรต่างๆ เป็นการใช้เงินนอกงบประมาณตามมาตรา 28 ของพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง โดยรัฐบาลจะต้องชดเชยการใช้จ่ายเงินให้กับแบงก์รัฐในอนาคต
ดังนั้นรัฐบาลที่จะมาบริหารประเทศในเร็วๆนี้จะต้องพิจารณาใช้จ่ายงบประมาณอย่างระมัดระวัง เพราะงบประมาณ 2567 ที่ตั้งไว้ 3.35 ล้านล้านบาท นั้นมาจากประมาณการรายได้ของรัฐบาลที่ 2.75 ล้านล้านบาท และกรอบการขาดดุลงบประมาณที่ 5.93 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 3.0% ต่อจีดีพี ส่วนงบกลางตั้งไว้ที่วงเงินประมาณ 9.3 หมื่นล้านบาท หากไม่เพียงพอสามารถใช้งบจากเงินทุนสำรองจ่าย ซึ่งมีวงเงิน 5 หมื่นล้านบาทมาใช้ได้อีก แต่อย่างไรก็หากเน้นประชานิยมมากเกินไป ในขณะที่ไม่สามารถจัดเก็บรายได้มากพอ ก็จะกลายเป็นภาระของรัฐบาลและเกิดผลกระทบได้ในระยะยาว







