'เศรษฐา' กับคำเตือน 'จตุพร'! นายกฯเท่านั้น กดดันเพื่อไทย?

'เศรษฐา' กับคำเตือน 'จตุพร'! นายกฯเท่านั้น กดดันเพื่อไทย?

ดูเหมือนก่อนหน้า แม้ชื่อ “เศรษฐา ทวีสิน” นักธุรกิจใหญ่ แห่งอสังหาริมทรัพย์ จะเป็นเพียงสมาชิกพรรคเพื่อไทย ยังไม่เปิดตัว ตำแหน่งหนึ่งตำแหน่งใดอย่างชัดเจนในพรรคเพื่อไทย จะดูดีมีราคา ในฐานะนักธุรกิจชื่อดังแห่งวงการ ผู้ประสบความสำเร็จในธุรกิจอย่างสูง จนเชื่อว่าจะมาเติมเต็มกระแส “แลนด์สไลด์” ชนะแบบถล่มทลายให้กับพรรคเพื่อไทย

แต่วันนี้กลับมี “เจ้ากรรมนายเวร” จ่อคิวไล่ล่า ตั้งแต่ไก่โห่ เปิดตัวตำแหน่งประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และที่ปรึกษาคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ ไม่กี่ชั่วโมง ก็เจอดีเข้าให้แล้ว

โดยเฉพาะ กรณี “ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ออกมา เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ไล่เป็นตอน 2 วันติดต่อกัน

เริ่มจากยังไม่เปิดตัวตำแหน่งสำคัญ “จตุพร” เขย่าตีปลาหน้าไซ  ตอน “มันคือกับดัก” เตือนให้รู้ตัวเอาไว้ ทั้ง “เศรษฐา” พรรคเพื่อไทย และสังคมไทย

“จตุพร” ย้อนไปสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี “เศรษฐา” ถือเป็นคนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ โดยมี 2 ตำแหน่ง มาจากสายสัมพันธ์ของ“เศรษฐา” คือ ตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี หรือ “นายกฯน้อย” ซึ่งคนในพรรคเพื่อไทยต่างตกใจว่ามาจากไหน แต่ยอมปล่อยไปเพื่อให้รัฐบาลได้เดินหน้า และตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยสมัยนายวิทยา บูรณศิริ มีการตั้งคนที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับ “เศรษฐา” เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี ต่อมาโยกนายวิทยาออก แต่งตั้งคนของ “เศรษฐา” เป็นรัฐมนตรีแทน กระทั่งเกิดปัญหากรณีการแต่งตั้งปลัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นกระทรวงแรกที่ถูก “กปปส.” ตีแตก

 

 

ไม่เพียงเท่านั้น “จตุพร” ยังพยายามชี้ให้เห็นถึงความเป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ของ“เศรษฐา” กับปมขายบ้านให้ “นอมินี” ที่คนต่างชาติเป็นเจ้าของ โดยตั้งคำถามว่า เคยทำหรือไม่ ทั้งยัง “เปิดประเด็น” ว่า หลังจากนี้ เชื่อว่าเรื่องนี้จะโผล่ขึ้นตามลำดับ“ในทางธุรกิจ มันจะมีตัวละคร ผมจะบอกใบ้ให้คุณเศรษฐา ไว้ล่วงหน้า ซึ่งผมได้ยินมาจากคนในแวดวง ว่าหลังจากนี้จะมีคนชื่อ ขงเบ้ง จะเป็นเจ้ากรรมนายเวร เป็นตัวละครสำคัญ ซึ่งคุณเศรษฐาย่อมรู้ดีกว่าใคร จะนำไปสู่หลากหลายเรื่องราวทั้งอสังหาริมทรัพย์และเกี่ยวกับเรื่องเทาๆทั้งหลายจะลุกลามไป ผมบอกใบ้ให้คุณเศรษฐาได้ทำการบ้านไว้” นายจตุพร กล่าว

และว่า “สิ่งที่สำคัญที่สุด เราต้องการคนมาทำให้ประเทศ ไม่ใช่คนมาทำเอากับประเทศเป็นเป้าหมายหลัก” รวมทั้งกล่าวด้วยว่า 

“เชื่อว่าคงมีการคิดกันมายาวนานพอสมควร ก่อนตัดสินใจรับตำแหน่งประธานที่ปรึกษาครอบครัวเพื่อไทย ถือเป็นการเดินเข้าสู่กับดักทางเมือง กรณีซอยลาซาล บางกอก บูเลอวาร์ด หลังจากนี้จะลามมาที่คุณเศรษฐา และตัวละครชื่อขงเบ้ง ก็จะปรากฏตัวนำไปสู่การพิสูจน์ว่าสะอาดหรือไม่สะอาด ขาวหรือเทา เทาหรือดำดังนั้นคุณเศรษฐา ต้องเตรียมตัวไว้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น”

 

จากนั้น เฟซบุ๊กไลฟ์ ตอน เปิดตัวจริงหรือ? “จตุพร” ตอกย้ำเรื่องอยู่เบื้องหลังรัฐบาลยิ่งลักษณ์อีก

“นายเศรษฐา ไม่ได้เป็นคนใหม่เลย สมัยยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แม้ไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นทางการ แต่ก็เป็นที่ปรึกษาที่ไม่เป็นทางการคนหนึ่งในจำนวนสามคน รวมถึงทักษิณและพล.อ.ประยุทธ์ ด้วย จนนำไปสู่การล่มสลายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่สำคัญตำแหน่งเลขาธิการนายกฯ และ รมต.สาธารณสุข ก็เป็นคนของนายเศรษฐา ซึ่งทั้งสองจุดนี้ เป็นส่วนหนึ่งของความพินาศย่อยยับของรัฐบาลยิ่งลักษณ์”

ที่สำคัญ “จตุพร” ย้ำว่า เมื่อเป็นที่ปรึกษารัฐบาลยิ่งลักษณ์ จนมีส่วนทำให้เกิดความล่มสลายแล้ว ความสำเร็จในฐานะที่ปรึกษา จึงยากจะนำมากล่าวอ้างได้ แต่เมื่อได้เป็นที่ปรึกษาของหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย หรือเป็นที่ปรึกษา อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร จึงส่อแนวโน้มเจ๊งไม่แตกต่างกันกับเป็นที่ปรึกษาของยิ่งลักษณ์

นอกจากนี้ “จตุพร” ยังไม่วายพูดถึงการตรวจสอบการทำธุรกิจ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการขายบ้านให้ “นอมินี” ทุนจีนสีเทา

“เมื่อมีการตรวจสอบหมู่บ้านหรูบางกอก บูเลอวาร์ด ซอยลาซาล ก็ต้องตรวจนายเศรษฐาและทุกหมู่บ้านที่เข้าข่ายขายบ้านเป็นนอมินีให้ต่างชาติเช่นกัน รวมถึงการตรวจสอบในตลาดหลักทรัพย์ด้วย อย่างไรก็ตาม คนที่มีหน้าที่ในบ้านเมืองแล้วไม่ตรวจสอบย่อมทำให้ประเทศเสียหายและเลวไม่ต่างกัน...”

ขณะเดียวกัน การก้าวเข้าสู่การเมืองของ “เศรษฐา” ครั้งนี้ ก็ดูมี “เงื่อนไข” ต่อรอง ที่อาจสร้างความกดดันให้กับ “ทักษิณ” และพรรคเพื่อไทยอยู่ไม่น้อย

ทั้งนี้จากการให้สัมภาษณ์ที่หอการค้าไทย-จีน เขตสาทร เป็นความชัดเจนอย่างยิ่ง ว่าจะรับตำแหน่งนายกฯเท่านั้น จะไม่รับตำแหน่งใดๆทางการเมือง หากไม่ได้เป็นนายกฯ

“มันไม่ใช่ความต้องการ วันนี้ตนเป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ซึ่งขั้นตอนจากนี้ต้องมีการได้รับเลือกเป็นแคนดิเดตนายกฯ และเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง ย้ำว่าพรรคเพื่อไทยส่งแคนดิเดตครบ 3 รายชื่อ ซึ่งคณะกรรมการบริหารพรรคจะต้องเลือกว่าใครจะได้รับความไว้วางใจตรงนี้”

เมื่อถามย้ำว่า ถ้าไม่ใช่ตำแหน่งนายกฯ ก็ไม่เอา ใช่หรือไม่ “เศรษฐา” กล่าวว่า “ก็คือไม่เอา แต่ก็อาจจะไปให้คำแนะนำอยู่ข้างหลัง หรือยังเป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยอยู่ต่อก็ได้ ผมก็ยังเป็นสมาชิกเพื่อไทยอยู่ ทำงานให้คำแนะนำด้านเศรษฐกิจ โดยไม่มีตำแหน่งก็ได้ ตรงนี้ก็สามารถทำได้”

อีกคำถาม การที่สื่อสารออกไปตีความว่า เราต้องเป็นนายกฯ เท่านั้น “เศรษฐา” กล่าวว่า ในฐานะที่เราเป็นคนไทยคนหนึ่ง เราก็สามารถทำประโยชน์ให้กับบ้านเมืองได้เหมือนกัน ถ้าเกิดมีตำแหน่ง ถ้าต้องขับเคลื่อนอะไรจริงๆแล้ว ตำแหน่งนายกฯ เป็นตำแหน่งที่มีอำนาจ ก็สามารถทำได้จริง

ถามอีกว่า ถ้าไม่ได้ตำแหน่งนายกฯ แสดงว่าตำแหน่งอื่นๆอย่าง รองนายกฯด้านเศรษฐกิจก็ไม่เอาใช่หรือไม่ “เศรษฐา” กล่าวว่า “ไม่เอาครับ”

และถามย้ำว่า ต้องเป็นตำแหน่งนายกฯเท่านั้น ใช่หรือไม่ “เศรษฐา” กล่าวว่า ตนเป็นที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยก็ได้ เป็นที่ปรึกษาที่ไม่ต้องมีตำแหน่งทางการกับใครในพรรคเพื่อไทย ซึ่งเราก็ยังเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยอยู่ ก็ยังสามารถทำได้

ส่วนถามว่า จะเป็นการกดดันพรรคเพื่อไทยหรือไม่ว่าจะต้องเลือกนายเศรษฐาเป็นนายกฯเท่านั้น “เศรษฐา” กล่าวว่า ไม่มี เรารู้จักกันมานาน เรารู้ตัวตนของตัวเองมานานเรื่องของการกดดันหรือ เรื่องของการอ้อมค้อมไม่มีแน่นอน ไม่ใช่เป็นนิสัยของตนเองอยู่แล้ว ซึ่งผู้ใหญ่ในพรรคก็รู้ดีว่า ตนเองเป็นคนอย่างไร ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่มีแน่นอน

รวมทั้งเมื่อถามถึงการดีลเข้ามาในพรรคเพื่อไทยเป็นการดีลในตำแหน่งเดียว คือนายกฯ ใช่หรือไม่ “เศรษฐา” กล่าวว่า ไม่ได้ดีลแบบนั้น แต่ดีลเข้ามาอย่างเดียวคือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ชวนเข้ามาทำงาน ชวนเข้ามาช่วยให้คำปรึกษา ซึ่งตนก็น้อมรับด้วยความเต็มใจ และรู้สึกเป็นเกียรติ

ประเด็นที่น่าวิเคราะห์ก็คือ “เศรษฐา” อาจรู้ตัวอยู่แล้วว่า ตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ของพรรคเพื่อไทย คือ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ดังนั้น ถึงแม้ว่า เป็น 1 ใน 3 “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ก็คงไม่ใช่เบอร์ 1

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ หาก “อุ๊งอิ๊ง” เป็นนายกรัฐมนตรี การที่ “เศรษฐา” จะเป็น “รองนายกฯ” จึงดูขัดเขินชอบกล เพราะนั่นเท่ากับอยู่ใต้อำนาจคนรุ่นลูกรุ่นหลาน ที่ยังต้องได้รับคำปรึกษา ก็ว่าได้ ทั้งที่ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ คุณวุฒิ วัยวุฒิ เหนือกว่าทุกอย่าง

ความจริง ประเด็นนี้ยังสะท้อนถึงการ “ดีล” จัดตั้งรัฐบาล ระหว่าง “ทักษิณ-เพื่อไทย” กับ “ประวิตร-พลังประชารัฐ” ด้วย กรณีหากพรรคเพื่อไทย เสนอ “อุ๊งอิ๊ง” เป็น “แคนดิเดตนายกฯ” และยืนยันด้วยที่นั่งส.ส.ของพรรคเพื่อไทย มากกว่า พลังประชารัฐ การที่จะให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็น “รองนายกฯ” ก็ดูเหมือนจะอยู่ในสถานะไม่ต่างจาก“เศรษฐา” ซึ่งบั้นปลายของ พล.อ.ประวิตร เมื่อโอกาสมาถึง ก็คงตั้งเงื่อนไขที่จะต้อง เป็นนายกฯเท่านั้นเช่นกัน

แล้วก็ไม่แปลก ที่ทุกสำนักวิเคราะห์ เชื่อว่า ถ้า “ดีล” จัดตั้งรัฐบาลระหว่างพรรคเพื่อไทยกับ พลังประชารัฐ เกิดขึ้นจริง โดยโฟกัสไปที่กรณีพรรคเพื่อไทย อยากเป็นรัฐบาลตำแหน่งที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะต่อรองก็คือ “นายกรัฐมนตรี” นั่นเอง

กลับมาที่กรณี “เศรษฐา” การตั้งเงื่อนไข ต้อง “นายกฯ” เท่านั้น อาจมีความเป็นไปได้หากเกิดกรณีการโหวตเลือกนายกฯของพรรคเพื่อไทยในรัฐสภา สมมุติ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ถูกเสนอชื่อเป็น เบอร์ 1 “เศรษฐา” เบอร์ 2 แล้วเสียงสนับสนุน “อุ๊งอิ๊ง” ไม่เกินกว่าครึ่งหนึ่งของรัฐสภา(สองสภารวมกัน) อาจมีการเสนอคนอื่นในพรรค และอาจเป็นเบอร์ 2 ที่ “ส้มหล่น” ซึ่งเรื่องนี้ อาจขึ้นอยู่กับเสียงส.ว.ส่วนใหญ่ว่าโหวตอย่างไร หรือ“งดออกเสียง”

เพราะฉะนั้น ไม่แปลก ที่พรรคเพื่อไทย ต้องการเสนอ “แคนดิเดตนายกฯ” เต็มทั้ง 3 รายชื่อ เพื่อที่การจัดตั้งรัฐบาล ตำแหน่งนายกฯจะมีตัวตายตัวแทนได้หลายคน นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม คำถามที่เกิดขึ้นทันที หลัง “เศรษฐา” ตั้งเงื่อนไข ต้อง “นั่งนายกฯ” เท่านั้นก็คือ พรรคเพื่อไทยจะได้อะไร แค่ไหน กับการมี “เศรษฐา” เป็น “แคนดิเดตนายกฯ” และเป็น “จุดขาย” ด้านเศรษฐกิจ   

เพราะถ้าไม่เสนอชื่อ “เศรษฐา” เป็น “แคนดิเดตนายกฯ” เบอร์ 1 (โดยให้ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร เป็นเบอร์ 2) โอกาสได้นั่งนายกฯ แม้ยังมีอยู่ แต่ก็โอกาสน้อย และอาจต้องรอ“ส้มหล่น” หรือ เบอร์ 1 มีปัญหาอย่างเดียว

แล้วหลังจากไม่ได้เป็นนายกฯ “เศรษฐา” ก็ไม่รับตำแหน่งอื่นที่เป็นทางการ อาจยอมเป็นประธานที่ปรึกษา นายกฯ? (ใหญ่สุดแล้ว) แต่ถามว่า จะมีบทบาทมากน้อยแค่ไหนในการบริหารประเทศ และแก้ปัญหาให้กับประชาชน  

ต้องไม่ลืม “จตุพร” ตอกย้ำให้เห็นแล้วว่า “เศรษฐา” เคยนั่งเป็นที่ปรึกษาให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด

ส่วนแรงกดดันที่เกิดขึ้นกับพรรคเพื่อไทย สิ่งแรกก็คือ การเสนอชื่อ “แคนดิเดตนายกฯ” ถ้าต้องการ “เศรษฐา” เป็น “จุดขาย” อย่างแท้จริง หรือยอมรับในประสบการณ์ ความรู้ความสามารถ จะต้องเป็น “เบอร์ 1” เท่านั้น

คำถามคือ “ทักษิณ” จะยอมให้ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร เป็นเบอร์ 2 ได้หรือไม่ เพราะอย่าลืมถ้าผลเลือกตั้งเป็นใจ เดินเกมจัดตั้งรัฐบาล “ลงตัว” โอกาสลุ้นตำแหน่งนายกฯของ “อุ๊งอิ๊ง” ก็มีไม่น้อย

ต่อมา ถ้าสมมุติ พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งมาอันดับ 1 แต่ได้เสียงไม่เกินครึ่งหนึ่งของสภาฯ หากต้องการเป็นรัฐบาล จำเป็นต้องจับขั้วกับ พล.อ.ประวิตร และ พลังประชารัฐกรณีนี้ไม่ว่า “แคนดิเดตนายกฯ”เบอร์ 1 จะเป็นใคร ระหว่าง“อุ๊งอิ๊ง” กับ “เศรษฐา” ก็อาจจะไม่ได้เป็นนายกฯ เพราะอำนาจต่อรอง “ตำแหน่งนายกฯ” อาจอยู่ที่พล.อ.ประวิตร? กรณีนี้ “เศรษฐา” ก็แทบไม่มีบทบาทในรัฐบาลอะไรเลย เพราะไม่ยอมรับตำแหน่งอื่น

เมื่อเป็นเช่นนี้ เท่ากับว่า การเปิดตัว “เศรษฐา” นอกจากจะไม่ช่วยให้กระแสพรรคเพื่อไทยพุ่งกระฉูด เพราะถือว่า เล่นการเมืองแบบ “แทงกั๊ก” อย่างมาก ยังสร้างแรงกดดันให้กับ “ทักษิณ” และ พรรคเพื่อไทย ที่จะต้องตัดสินใจเลือก “แคนดิเดตนายกฯ” ด้วย

เหนืออื่นใด หากพรรคเพื่อไทย ใช้ “เศรษฐา” เป็น “จุดขาย” ในการหาเสียง ด้านเศรษฐกิจ โดยที่ทุกคนรู้อยู่แล้วว่า ถ้าไม่ได้เป็นนายกฯ ก็จะไม่รับตำแหน่งอื่น จะเท่ากับ“ขายของ” ที่ไม่มีอยู่จริงหรือไม่

 

ทั้งหมดถือว่า “กดดัน” สำหรับคนที่ “ซีเรียส” แต่กับคนที่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวและการเมือง เป็นความเคยชิน ก็อาจช่างมันฉันไม่แคร์ ก็เป็นได้!?