คงมุมมองระวังระยะกลาง ขณะที่คาดระยะสั้นมีลุ้น 1,550-1,565

คงมุมมองระวังระยะกลาง ขณะที่คาดระยะสั้นมีลุ้น 1,550-1,565

ผลประกอบการยังเป็นปัจจัยหนุนขณะที่ ก.ย.-ต.ค.มีโอกาสผันผวนจากหลายปัจจัย

ภาพรวมหุ้นยุโรปยังได้แรงส่งจากผลประกอบการ ขณะที่หุ้นสหรัฐฯ ปรับลงหลังตัวเลขการจ้างงานออกมาต่ำกว่าคาด และจากการแสดงความเห็นของรองประธานเฟด ริชาร์ด แคลริดา ที่มองเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะบรรลุการจ้างงานตามเป้าหมายในปี 2565 และน่าจะเห็นการขึ้นดอกเบี้ยในปี 2566 ขณะที่การเริ่มลดมาตรการผ่อนคบายทางการเงิน (Tapering) คาดจะเกิดขึ้นภายในปีนี้ ในระยะสั้นเราคาดตลาดจะยังได้แรงหนุนจากผลประกอบการ แต่จะเพิ่มความระวังมากขึ้นต่อการดำเนินนโยบายของเฟดและการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ รอบต่อไป 21-22 ก.ย.

กนง.คงดอกเบี้ยนโยบายแต่มีสัญญาณของการผ่อนคลายในอนาคต กนง.คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% และปรับลดประมาณการ GDP ปี 2564 ลงเหลือ 0.7% จากเดิม 1.8% และปี 2565 ลงเล็กน้อยจาก 3.9% เหลือ 3.7% โดยปรับประมาณการเกี่ยวกับสมมติฐานนักท่องเที่ยวต่างประเทศลง (ปี 2564 ที่ 1.5 แสนราย vs เดิม 7 แสนราย / ปี 2565 ที่ 6 ล้านราย vs เดิม 10 ล้านราย) และแสดงความกังวลถึงผลกระทบของสถาณการณ์ระบาดของโควิด โดยเฉพาะหากมีการลุกลามไปยังภาคการผลิต ซึ่งจะกระทบไปยังภาคส่งออกที่เป็นเครื่องยนต์หลักทางเศรษฐกิจเดียวที่ยังทำงานได้ดีอยู่ อย่างไรก็ตามผลการลงมติด้วยคะแนนเสียง 4:2 แสดงถึงความเป็นไปได้ของการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเรามองเป็นการส่งสัญญาณบวกถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ

ยังคงมุมมองระวังในระยะกลาง ขณะที่ระยะสั้นคาดฟื้นตัวทดสอบ 1,550-1,565 จุด ด้วย Valuation ของหุ้นไทยและโลกที่ตึงตัว รวมถึงความผันผวนในช่วงรอยต่อของการนดำเนินนบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ทำให้เรายังคงมุมมองระมัดระวังต่อความผันผวนในช่วงไตรมาส 3/64 อย่างไรก็ตามการที่หุ้นขนาดใหญ่จำนวนมากปรับลดลง 20-30% ทำให้อยู่ในจุดที่เป็นเป้าหมายการเสี่ยงซื้อ หรือมีโอกาสฟื้นตัว โดยประเมินเป้าหมายที่ 1,550-1,565 จุด

ธีมการลงทุนระยะสั้น กลุ่มสื่อสารและ REITs ยังเป็นแหล่งพักเงินที่ดี ในช่วงที่ตลาดกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงการปรับประมาณการผลประกอบการที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เรามองทยอยสะสม ADVANC, DTAC, FTREIT, WHART / เก็งกำไรแบบกำหนดจุดตัดขาดทุน JAS, ALT / ทยอยสะสมสาธารณูปโภค RATCH, EASTW, WHAUP, TTW / กลุ่มอาหารและเกษตร TVO, TU, CPF, GFPT, TWPC / เก็งกำไร กลุ่มเดินเรือ PSL, TTA, RCL / เก็งกำไรกลุ่มอุปกรณ์การแพทย์ SMD, TM, WINMED, BIZ / เก็งกำไรกลุ่มบรรจุภัณฑ์ SCGP, BGC / กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ แม้แนวโน้มผลประกอบการดี แต่เพิ่มความระวังความผันผวนและจากความเสี่ยงการผลิตอาจกระทบหากมีพนักงานติดโควิด

ภาพรวมกลยุทธ์: กลุ่มธนาคารและการเงินเกิดสัญญาณฟื้นตัวมีโอกาสหนุนดัชนีฟื้นตัวขึ้นทดสอบ 1,550 - 1,565 จุด แต่ไม่เปลี่ยนภาพเชิงลบในระยะกลาง ใช้จังหวะดีดตัวในการขายเพิ่มการถือเงินสด และยังเน้นเพียงเลือกเก็งกำไรรายตัวระหว่างรอจุดซื้อที่ดี  // หุ้นแนะนำ: KEX*, TTA*, TK*, SAK*

แนวรับ: 1,525-1,535/ แนวต้าน : 1,550-1,565 จุด สัดส่วน : เงินสด 60% : พอร์ตหุ้น 40%

 

ประเด็นการลงทุน

THG. ราคาหุ้นร่วงแรงหลัง “หมอบุญประธานกรรมการ THG เผยว่าดีลนำเข้าวัคซีนไฟเซอร์ล้มหลังรัฐบาลประกาศจะเป็นผู้นำเข้าเอง พร้อมชี้แจงข้อมูลต่อ กลต.-ตลท. เกี่ยวกับการนำเข้าวัคซินไฟเซอร์ภายใน 7 วัน

  1. เดินหน้าเปิด 10 โครงการต่อเนื่อง หลังรัฐปลดล็อกกลับมาก่อสร้าง เล็งลงทุนธุรกิจโรงแรมในกรุงเทพฯ-ต่างจังหวัดเพิ่ม ขณะที่เลื่อนการเปิดศูนย์การค้า Terminal 21 พระรามสามออกไป

สินเชื่อแอร์ไลน์. เอ็กซิมโวปล่อยกู้ 4 สายการบินแล้ว 2.2 พันล้านบาท อีกสองรายรอการเจรจา ย้ำไม่ใช่ซอฟต์โลน เป็นสินเชื่อรักษาการจ้างงงานและพยุงธุรกิจ แต่ด้านสมาคมสายการบินยืนยันยังไม่ได้อนุมัติเงินกู้แม่แต่บาทเดียว 

ก.ล.ต.เตรียมออกหลักเกณฑ์การลงทะเบียนแสดงตัวตนของผู้ลงทุนตราสารหนี้ในประเทศไทย เพื่อตรวจสอบว่า ลูกค้าและผู้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง (ultimate beneficiary owner: UBO) ที่อยู่ในต่างประเทศคือใคร

แผนพลังงานแห่งชาติ มีแนวโน้มเพิ่มพลังงานทดแทนเพื่อบรรลุเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด เป็นปัจจัยบวกกับหุ้นกลุ่มพลังงานทดแทน

ประเด็นติดตาม: -  5 ส.ค.: US Initial Jobless Claims, TH CPI เดือน ก.ค., BOE Meeting / 6 ส.ค.: US Employment Report

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)