ซูเปอร์ 'ธรรมนัส' พลิกเกม' ขาลงรัฐบาล
โซเชียลฯ พากันประหลาดใจกับ “บทพระเอก” ของ “ร.อ.ธรรมนัส” ที่ขวางซื้อ "เรือดำน้ำ" พลิกเกมรัฐบาลจากเพลี่ยงพล้ำ บางคนสะท้อนผ่านคอมเมนต์ในสื่อออนไลน์ เห็นเค้าลางไกลๆ เป็นว่าที่ “นายกฯ” คนใหม่ในอนาคต
เมื่อ “รัฐบาล” เจอไฟต์บังคับให้ต้องรีบปลดชนวน อันสืบเนื่องจากเรื่อง “เรือดำน้ำ” ไม่ให้ถูกขยายความ กลายเป็นประเด็นโจมตีในช่วงวิกฤติโควิด-19
นับเป็นเกมผ่อนสั้นผ่อนยาว และมีความสำคัญในการประคับประคองสถานการณ์ให้ “รัฐนาวาประยุทธ์” ได้หายใจหายคอต่ออีกเฮือก
การเลือกเล่นบทนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สิ่งที่น่าแปลกคือ คนแรกที่นำร่องออกโรงคัดค้านการตั้งงบประมาณปี 65 เพื่อจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2-3 ของกองทัพเรือนั้น คือคนของรัฐบาลเอง ที่ชื่อ“ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า”รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ
จนโลกโซเชียลฯ พากันประหลาดใจกับ “บทพระเอก” ของ “ร.อ.ธรรมนัส” ที่พยายามพลิกเกมให้รัฐบาลจากที่เพลี่ยงพล้ำ ให้สามารถเดินหน้าได้ต่ออีกระยะ
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือ มีบางคนสะท้อนผ่านคอมเมนต์ในสื่อออนไลน์ ทำนองว่า เห็นเค้าลางไกลๆ “เลขาฯ พรรคพลังประชารัฐ” เป็นว่าที่ “นายกฯ” คนใหม่ในอนาคต อย่างไรอย่างนั้น
เพราะการจะออกมาเบรกเรื่องการจัดซื้อเรือดำน้ำ ซึ่งกระทรวงกลาโหมเป็นแม่งาน พยายามผลักดันให้สำเร็จตั้งแต่ยุค คสช. ที่มี “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรี นั่ง“รมว.กลาโหม” เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักเรื่องนี้ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมมาตั้งแต่ตอนนั้น แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งโครงการได้
จนมาถึงตอนนี้ ยุคที่มี “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี ควบตำแหน่ง รมว.กลาโหมก็ยังเจอแรงต้านอย่างหนัก ในการจะจัดสรรงบก้อนโต ถอยเรือดำน้ำเพิ่ม ในช่วงพายุโควิดโหมกระหน่ำ
การยอมถอย หรือวางเผือกร้อนจากมือครั้งนี้ แทนที่จะเป็นคนที่เกี่ยวข้องโดยตรงอย่าง“พล.อ.ประยุทธ์” หรือ “พล.อ.ประวิตร” หรือหน่วยงานอย่าง “กลาโหม” จะเป็นหัวหอกสวมบทนำ ประกาศยอมถอยด้วยตัวเองเป็นคนแรก หากบทนี้กลับเป็นของ “ร.อ.ธรรมนัส” ที่ออกโรงค้าน ก่อนที่โฆษกกระทรวงกลาโหมจะออกมาสำทับว่า นายกฯสั่งการกองทัพเรือ ให้ถอนแผนงานออกไปก่อน จนถูกมองว่าไม่มีทางเลือกเป็นอื่น ต้องว่าตามสิ่งที่ ร.อ.ธรรมนัส ว่ามา
เกมชิงจังหวะแบบนี้ของ ร.อ.ธรรมนัส ที่พลิกจากโดนไล่ต้อน จนสามารถลดแรงเสียดทานให้รัฐบาลขึ้นมาได้บ้างนั้น อีกมุมนับเป็นความว่องไวที่อ่านเกมออก รู้อารมณ์สังคม จึงงัดลูกนี้ออกมาเล่น
หากย้อนกลับไปอีกนิด กรณีเกิดเหตุไฟไหม้โรงงานสารเคมี ย่านกิ่งแก้ว สมุทรปราการ เมื่อวันที่6 ก.ค. ร.อ.ธรรมนัส ก็ลงไปในพื้นที่ จนถูกจับตาว่า ลงมาปฏิบัติหน้าที่เสมือน รมว.มหาดไทยแต่เจ้าตัวก็มีคำอธิบายว่า เป็นพื้นที่ที่อยู่ในความดูแลของส.ส.พรรคพลังประชารัฐ แต่อยู่ระหว่างการกักตัว ช่วงที่ไปเพราะยังไม่สามารถควบคุมเพลิง จึงต้องไปสั่งการด้วยตัวเอง เพื่อประสานงานกับหน่วยบัญชาการทหารพัฒนาที่มีรุ่นพี่ของตนลงไปปฏิบัติหน้าที่อยู่ พร้อมทั้งให้ความเห็นว่า ต้องมีการปรับผังเมืองสมุทรปราการใหม่ และตรวจโรงงานทั้งหมด
ภารกิจทั้งในหน้าที่ และเกินหน้าที่ หรือนี่จะเป็นจังหวะนับหนึ่งในการพลิกโฉมภาพลักษณ์ตัวเองของ ร.อ.ธรรมนัส ที่หากพูดถึงชื่อนี้เสียงยี้จะพ่วงท้ายชนิดที่ยากจะสลัดให้หลุด
จะว่าไปแล้ว เรื่องภาพลักษณ์ในสายตาสังคมอาจเป็นเพียงเรื่องเดียวที่ฉุด ร.อ.ธรรมนัส ไม่ให้ทะยานในทางการเมืองยุค พล.อ.ประยุทธ์ ได้มากว่านี้ ทั้งที่คุณสมบัติอื่นๆ ถือว่าครบเครื่อง ทั้งทุนรอน อำนาจ เครือข่าย พวกพ้อง และ ร.อ.ธรรมนัส ก็นับเป็นอีกคนที่มีซูเปอร์คอนเน็กชั่นกับบุคคลระดับ VVIP ต่อสายได้ทุกขั้วทางการเมือง
โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่าง ร.อ.ธรรมนัสกับอดีตนายใหญ่อย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” หรือ โทนี่ วู้ดซัม ที่ฝ่ายหลังเคยออกมาพูดถึงอีกฝ่ายอย่างให้เกียรติ น้ำเสียงนุ่มนวล จนชวนให้คิดไกลได้อีก ถึงก้าวต่อไปของคนชื่อ ร.อ.ธรรมนัส เพราะเมื่อถึงวันหมดยุคของ “3 ป.” ก็ใช่ว่าเส้นทางของเขาจะตีบตัน หรือสิ้นสุดลงตามไปด้วยไม่
ในทางกลับกัน ความพยายามสร้างตัวตน ไม่อยู่ใต้เงาใคร ทำให้เส้นทางของ “ร.อ.ธรรมนัส” ยิ่งเปิดกว้าง
น่าจับตา วิถีการเมืองของอดีตนายทหารนักธุรกิจ กำลังไต่ขึ้นสู่จุดพีคอำนาจการเมือง สวนทางกับใครบางคนที่กำลังขาลง และจำเป็นต้องลงจากหลังเสือแล้วหรือไม่