เปิดใจ‘ชาติ กอบจิตติ’ กับแผนบั้นปลายชีวิตที่ไม่เหมือนใคร

 เปิดใจ‘ชาติ กอบจิตติ’ กับแผนบั้นปลายชีวิตที่ไม่เหมือนใคร

ทอล์คฉบับนี้ อาจไม่ใช่บทสัมภาษณ์ที่หวือหวาแบบ“พันธุ์หมาบ้า” แต่เป็นบทสนทนาที่ชัดเจนในสิ่งที่"ชาติ กอบจิตติ"เลือกทำในวัยที่ตกผลึกทางความคิด  

ในวัย 67 ปี ชาติ กอบจิตติ นักเขียนที่หลายคนชื่นชอบ มองทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดาๆ แม้จะไม่ชอบสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทยช่วงไวรัสโควิดระบาดทั่วเมือง ก็ไม่บ่นตัดพ้อรัฐบาล  

จึงแหย่คำถามเล่นๆ ไปว่า “คิดว่ารัฐบาลชุดนี้เป็นอย่างไร” 

ชาติ บอกว่า “ผมว่าเขาไม่เก่ง แค่นี้ก็คลุมหมดทุกเรื่องแล้ว”

ทอล์คฉบับนี้ ไม่ได้ตั้งใจพูดเรื่องการเมือง ปัญหาสังคม แต่พูดถึงชีวิตของเขา แม้เขาจะตอบแบบ“ประหยัดถ้อย ประหยัดคำ” และบอกระหว่างการสนทนาว่า “ถ้าผมนิ่ง แสดงว่าหมดคำตอบ”

แม้ ชาติ จะเป็นนักเขียนที่คนส่วนใหญ่รู้จัก แต่ก็คงมีคนไม่รู้จักเขาบ้าง...

ถ้าอย่างนั้นมารู้จักเขาสักนิด ชาติเป็นนักเขียนที่พิมพ์หนังสือขายเอง มีสำนักพิมพ์ชื่อ “หอน” ไม่รับพิมพ์หนังสือคนอื่น เขียนหนังสือมา 18 เล่ม ตั้งใจว่าในชีวิตนี้จะเขียนแค่ 20 เล่ม อาจมากกว่านั้นเล็กน้อย ผลงานของเขา มีดังนี้  คำพิพากษา(พ.ศ. 2524) และเวลา(พ.ศ. 2536) สองเล่มนี้ได้รางวัลซีไรต์, เรื่องธรรมดา (พ.ศ. 2526),หมาเน่าลอยน้ำ (พ.ศ. 2530)พันธุ์หมาบ้า(พ.ศ. 2531),รายงานถึง ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี (พ.ศ. 2539) ฯลฯ 

นอกจากนี้ยังมีธุรกิจเล็กๆ เสื้อ หมวก รองเท้า แบรนด์ PhanMaBa ได้เล่าประสบการณ์การทำธุรกิจไว้ในเฟซบุ๊ค และหนังสือ

เรื่องเล่าแบรนด์ของผม ปัจจุบันชาติพักอยู่ที่ไร่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา มีบ้าน 4 หลัง

ในความธรรมดาๆ ของผู้ชายคนนี้ ตัวหนังสือของเขาสามารถกระตุกต่อมคิดของคนมากมาย ไม่เฉพาะคนไทย ยังมีผลงานหลายเล่มพิมพ์เป็นภาษาต่างชาติ 

ล่าสุด ในเฟซบุ๊ค Chart Korbjitti (ได้ขออนุญาตแล้วว่า จะนำบางข้อความมาประกอบบทสัมภาษณ์ ) โพสต์ เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2564 (เวลา 20.04 น.) ว่า

"ให้รางวัลกับทุกวันที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา : เกิดดับ ทุกวัน เราตายไปทีละวัน วันนี้เราทุกคนตายไปอีกวัน วันอาทิตย์

ก่อนนอน ผมให้รางวัลกับตัวเองทุกวัน เมื่อได้ระดับแล้ว ก็จะยิ้มกับตัวเอง คุยกันกับตัวเอง ชมมันว่า วันนี้มึงเก่งนะ มึงยังมีวิริยะในการหายใจอยู่นิ 55"

162597732820

ชาติ กอบจิตติ นักเขียนซีไรต์เรื่องคำพิพากษาและเวลา 

................

เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2564 เวลา 23.50 น.เขาโพสต์เรื่อง ชีวิตลิขิตไม่ได้ : แต่เราควรจะสเก็ตช์ชีวิตของเราได้ (สามารถตามอ่านในเฟซบุ๊คจะมีรายละเอียดที่งดงามกว่าบทสรุปสั้นๆ ในพื้นที่ส่วนนี้) เนื่องในวันครบรอบวันเกิด 67 ปี

-ชีวิตเหลือเวลาอีกสิบปี(โดยนับวันพ่อของเขาเสียตอน 77 ปี) เพื่อนถามว่า แก่แล้วจะทำอย่างไร ไม่มีลูกดูแล 

-เขาวางแผนไว้ว่า อายุ 72 จะขายลิขสิทธิ์หนังสือทั้งหมดให้คนทำธุรกิจสิ่งพิมพ์ ลิขสิทธิ์เกิน 50 ปี ยกเว้นเรื่องพันธุ์หมาบ้า

-หากเงินจากการขายลิขสิทธิ์หนังสือหมด อายุ 75  ไม่มีเงิน ต้องหาเงินจัดงานศพ จะขายแบรนด์ PhanMaBa พร้อมลิขสิทธิ์หนังสือเรื่องนี้ ได้เงินก้อนมาแบ่งให้ลูกน้อง เป็นทุนชีวิต 

-พออายุ 77 ถ้าไม่ตาย ไม่มีเงิน จะทำยังไง? คงต้องขายที่ดินพร้อมบ้าน 50 ไร่ที่อ.ปากช่อง โดยไม่แบ่งขาย.... 

-ถ้าตาย...แล้ววิญญาณมีจริงไหม อยากรู้เหมือนกัน แต่กลับมาบอกไม่ได้

ถ้าจะอ่านสำนวนแบบชาติ กอบจิตติ ตามอ่านในเฟซบุ๊ค แต่ถ้าจะอ่านบทสนทนาชีวิตที่เขาสเก็ตช์ไว้ อ่านได้เลยในบรรทัดถัดไป....

   

  • ทำไมเขียนหนังสือแล้วพิมพ์ขายเอง และไม่พิมพ์หนังสือคนอื่น

ผมทำสำนักพิมพ์เพื่อพิมพ์หนังสือตัวเอง ไม่รับพิมพ์งานคนอื่น ถ้าพิมพ์หนังสือให้นักเขียนคนอื่น เรื่องขาดทุนกำไรก็จะมากดดันเรา แต่ถ้าเราทำของเราเอง ขาดทุนหรือกำไร ก็เป็นผลงานเรา ผมก็เลยทำหนังสือถูกด้วยกระดาษปรู้ฟ ถ้าหนังสือถูกนักศึกษาก็ซื้ออ่านได้ง่าย จริงๆ แล้วหนังสือเป็นธุรกิจที่กำไรดี ถ้าขายหมด

ผมทำหนังสือออกมาน้อย ตอนนี้หนังสือผมมี 18 เล่ม ในเรื่องการจัดการ ผมเรียกทฤษฎีของผมว่า ทฤษฎีมะพร้าวแก่ โดยทั่วไปคนจะเอามะพร้าวไปคั้นกะทิ พอได้กะทิก็ทิ้งเปลือก ทิ้งกะลา เหมือนนักเขียนที่เอาหนังสือไปให้เขาพิมพ์คือ เอากะทิไปให้ แล้วโยนเปลือกและกะลาทิ้ง

ถ้าเปรียบเทียบกับการทำสำนักพิมพ์ เราสามารถทำเป็นหนังสือปกแข็ง ปกอ่อน และแปลงานเขียนเป็นภาษาอังกฤษ สร้างมูลค่าจากเศษที่เหลือ ผมใช้วิธีนี้ในการจัดการสำนักพิมพ์ของผม นอกจากคั้นกะทิขาย กากมะพร้าวอาจใช้ทำสบู่ขาย เป็นเงินทั้งนั้น แม้เราจะเขียนหนังสือไม่เยอะ แต่มีวิธีการจัดการ ทำให้เราอยู่ได้

162597757610

(ชีวิตนี้จะเขียนหนังสือ 20 เล่ม แต่อาจจะมากกว่านั้นเล็กน้อย)

  • ทำแบบนั้นตั้งแต่แรกไหม

ผมไม่ได้เข้ามาเป็นนักเขียนแล้วเขียนหนังสือขายเลย ผมไม่ได้ทำแบบนั้น ก่อนหน้านี้ผมมีอาชีพทำกระเป๋าหนังขาย พอมีเงินเหลือก็เอามาพิมพ์หนังสือขาย ขาดทุนไม่เป็นไร เป็นเงินเรา ไม่ได้กู้ใคร ไม่กดดัน อาจจะต่างจากคนอื่นในแง่ที่ว่า เข้ามาเป็นนักเขียน แล้วพิมพ์หนังสือขายเอง แบบนัั้นจะลำบาก ชีวิตรันทดแน่นอน 

แต่ผมทำเพราะใจรัก เป็นงานอดิเรก วันหนึ่งงานอดิเรกก็กลายเป็นงานหลัก ก็เลยไม่ผ่านช่วงรันทด เราจำเป็นต้องวางแผน แผนชีวิตก็เหมือนกันต้องวางไว้ เพื่อความปลอดภัย

อย่างผมอยู่บ้านรดน้ำต้นไม้ ถ้าต้องลากสายยางยาวๆ ผมก็ต้องคิดก่อนว่า ต้องรดต้นไหนก่อน เพื่อไม่ให้สายยางพันกัน เสียแรงน้อยที่สุด ได้งานเยอะที่สุด คนเราต้องมีแผนคร่าวๆ ไม่ใช่ปล่อยตามยถากรร

  • เวลาเขียนหนังสือ ต้องวางแผนเขียนให้ร่วมสมัย ล้ำสมัย อ่านได้ทุกรุ่นไหม

ไม่ได้คิดขนาดนั้น ไม่ได้คิดตามใจคนอ่าน อยากเขียนอะไรเขียนตามใจตัวเราเอง ถ้าคิดตามตลาดว่า คนอยากอ่านงานแบบนั้น ถ้าตลาดเปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยนตาม เราก็จะเหนื่อย สู้เราทำให้คนในตลาดมาอ่านงานเราดีกว่า

ผมไม่สนใจเรื่องตลาด แต่สนใจว่า ผมต้องการพูดอะไร พูดในสิ่งที่เราต้องการ แล้วทำได้เต็มที่ไหม พอทำงานเต็มที่ ก็มาคิดว่าจะขายยังไง เป็นเรื่องตลาดแล้ว ต้องทำสินค้าให้มีคุณภาพก่อน จะขายยังไงเป็นอีกเรื่อง

  • ผลงานที่เขียนเป็นภาษาต่างประเทศ คุณผลักดันเอง หรือ คนอื่นช่วยผลักดัน ?

ถ้าไม่ใช่ภาษาอังกฤษ มีคนมาของานเขียนไปแปล ถ้าเป็นภาษาอังกฤษ ผมผลักดันเอง เพราะมีเพื่อนฝรั่งช่วยแปล อย่างน้อยๆ ก็มีนักเรียนอินเตอร์ นักท่องเที่ยวที่มาเมืองไทย ไม่ได้มาดูแค่พัฒน์พงษ์ คนที่ชอบศิลปะก็อาจซื้อหนังสือผมไปอ่าน เหมือนเราไปต่างประเทศก็ซื้อวรรณกรรมต่างชาติไปอ่าน

  • เล่มไหนที่แปลหลายภาษา

คำพิพากษา และ พันธุ์หมาบ้า

  • คุณเขียนไว้ในเฟซบุ๊คว่า ในชีวิตจะเขียนหนังสือแค่ 20 เล่ม ? 

เล่มที่ 19 เป็นนิทานเวตาล ส่วนเล่มที่ 20 น่าจะเป็นนิยายที่ยังคาใจอยากทำ แต่ยังติดภาระนั่นนี่ ในชีวิตผม ผมคิดตั้งแต่แรกว่า น่าจะเขียนหนังสือสัก 20 เล่มก็พอ ถ้าเกินกว่านี้ก็ไม่เยอะ ไม่น่าจะถึง 30 เล่ม

ชีวิตผมมาสู่บั้นปลายแล้ว(หัวเราะ) ตอนนี้ไม่ไหว เวลาเซ็นชื่อในหนังสือเยอะๆ เมื่อยมือ ถ้าคนอ่านซื้อเป็นชุด 100 เล่ม ก็ต้องเซ็นเยอะ

  • ผลงานที่เขียนมีเล่มไหนรักที่สุด

โดยทั่วไปจะตอบว่า ชอบงานที่เขียนทุกเล่ม เหมือนรักลูกก็รักเท่ากัน ในแง่งานเขียน 18 เล่ม ผมพอใจเรื่อง เวลา เพราะรู้สึกทำได้เต็มไม้เต็มมือ อย่างคำพิพากษา ตอนเขียนยังเด็ก อาจดูแข็งๆ ความสุขุมลุ่มลึกยังไม่มี ช่วงนั้นวุฒิภาวะเรามีแค่นั้น

  •  ธุรกิจสร้างแบรนด์ PhanMaBa มาได้ยังไง

ผมเขียนเรื่องเล่าแบรนด์ของผม ที่มาที่ไปการทำเสื้อผ้าแบรนด์พันธุ์หมาบ้า ธุรกิจแบรนด์เล็กๆ ก็เหมือนกันหมด ทุกองค์กรจะมีปัญหาเรื่องคน เรื่องการตลาด และปัญหากำไรขาดทุน ผมสนุกที่ได้ใช้สมองแก้ปัญหา

คุณเขียนในเฟซบุ๊คว่า “ตอนเด็กๆ อยากเป็นนักเขียน อยากถ่ายรูป อยากท่องเที่ยวต่างประเทศ อยากมีบ้านในป่า ภาพที่สเก็ตช์ไว้ ก็เป็นจริงแล้ว” ถ้าอย่างนั้นยังมีเรื่องที่อยากทำอีกไหม 

อายุขนาดนี้แล้ว ก็รอๆ ดูว่า ตายแล้ววิญญาณมีจริงไหม อยากรู้อย่างเดียว แต่กลับมาบอกไม่ได้ ชีวิตช่วงนี้ก็ไม่ได้คิดอะไร อยู่สบายๆ ไม่ได้คิดถึงอนาคต ก็น่าจะพอแล้วมัง

  • เหมือนที่เขียนไว้ว่า “ชีวิตลิขิตไม่ได้ แต่สเก็ตช์ได้”

ชีวิตก็ต้องวางแผนคร่าวๆ จะได้หรือไม่ ก็ช่างมัน ยังกินข้าวได้ นอนได้ อย่าซีเรียส ถ้าเป็นไปตามวางแผนก็โอเค ได้ทำอย่างที่อยากทำ

  • คุณเคยเขียนว่า คุณมีเพื่อนรักที่สามารถตายแทนกันได้ ?

ถ้ามันบอกมาก็ทำได้ แต่มันคงไม่บอก สมัยหนุ่มๆ ไปตีรันฟันแทง เราก็แสดงออกตรงนั้นได้ คนที่ผมพูดถึงเป็นเพื่อนที่คบกันตั้งแต่เด็ก ผมยังยืนยันคำนั้นตายแทนกันได้

ถ้าวันนี้มันพูดว่า มึงไปตายแทนกู ก็ไปได้ แต่มึงจะบอกหรือ เพื่อนคนนี้ชืื่อธรรมรัตน์ เป็นตัวละครตัวหนึ่งในพันธุ์หมาบ้าเปิดร้านที่สกาล่า เพื่อนคนนี้กินนอนด้วยกัน ผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกัน

ตอนอยู่อเมริกา ผมก็ไปอยู่บ้านมัน 3 ปีกว่า ๆ กินนอนฟรี มันก็ขับรถพาไปกินโน้นกินนี่ ทั้งๆ ที่ค่าใช้จ่ายแพง ตอนที่มันกลับมาเมืองไทยเพื่อดูแลแม่ ต้นปีนี้ก็กลับไป และไม่รู้จะได้มาเจอกันอีกเมื่อไร

มันถามผมว่า มึงแก่แล้ว มึงจะเอายังไงกับชีวิต เขาก็ห่วงเรา เพราะเขามีลูก ผมเล่าไว้ในเฟซบุ๊คผมวางแผนไว้ว่า 

ถ้าผมอายุ 72 ปีผมจะขายลิขสิทธิ์หนังสือที่เขียนทั้งหมดให้สำนักพิมพ์ ถ้าไม่มีสำนักพิมพ์ไหนซื้อผลงานผมทั้งหมด ผมก็ต้องเปลี่ยนแผน คนซื้อไปจะได้ลิขสิทธิ์ตั้ง 50 ปี อย่างคำพิพากษาทำเป็นละครก็ได้

ชีวิตผมก็วางแผนไว้เฉยๆ ไม่ได้หมายความว่าจะได้อย่างที่คิด ผมก็ไม่รู้อนาคต เผลอๆ อาจจะตายวันนี้ พรุ่งนี้ก็ได้ แต่ถ้าเรายังอยู่ทำได้ก็จะทำ

162597614670

(พันธุ์หมาบ้า นอกจากเป็นหนังสือ ยังมีแบรนด์เสื้อผ้า กระเป๋าฯลฯ )

  • แบรนด์พันธุ์หมาบ้าที่สร้างมากับมือ ขายไปไม่เสียดายหรือ ? 

ผมคิดว่า สร้างแบรนด์ให้แข็งๆ แล้วขายแบ่งกันดีกว่า คนที่รับช่วงทำต่ออาจเป็นคนอีกรุ่น อย่างที่ผมทำก็ทำได้แบบคนอายุ 60 คน คนที่ซื้อไปทำ ก็น่าจะมีโรงงานกาเม้นท์อยู่แล้ว แล้วซื้อแบรนด์ไปต่อยอด ไม่ต้องลงทุนสร้างแบรนด์ใหม่ และที่ผมไม่ส่งต่อให้หลานๆ เพราะพวกมันทำไม่เป็นหรอก

  • สิ่งที่คุณเขียนไว้ ทำให้คนฉุกคิดถึงชีวิตบั้นปลาย ควรมีการวางแผนไว้บ้าง

สำหรับผมเป็นแนวทางที่คิดไว้คร่าวๆ ถ้าเราอยากเป็นเศรษฐีพันล้าน ก็ต้องสเก็ตซ์ไว้ว่าเราต้องทำอย่างไร และไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องสมถะ วิถีใครวิถีมัน แต่วิถีทางหยิบยืมไปใช้ได้ ชีวิตผมไม่ได้ต้องการอะไรเยอะ ไม่อยากซื้อเบนซ์ขับ สิ่งที่อยากได้ก็ได้หมดแล้ว

  • เมื่อถึงจุดหนึ่งบ้านในป่า 50 ไร่ ก็จะขายออกไป ?

ถ้าไม่มีกิน ก็ขาย

  • คงไม่มีใครเชื่อว่านักเขียนอย่างคุณจะไม่มีกิน ? 

ไม่แน่ ประมาทไม่ได้ บางทีเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต เส้นเลือดในสมองแตก แล้วทำอะไรไม่ได้ ผมคิดเสมอว่า ถ้าวันหนึ่งลำบากจะทำยังไง ไม่ได้คิดว่าชีวิตนี้สบายแล้ว

  • ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต ?

เพื่อนผมบอกว่า ผมเป็นเจ้าคุณละเอียด ผมเป็นคนช่างคิด แม้กระทั่งการเขียนงาน ผมแก้แล้วแก้อีก ยิ่งงานเขียนยิ่งต้องแก้ เพราะเวลาพิมพ์ออกไป แก้ไม่ได้แล้ว ยกเว้นพิมพ์ซ้ำ แต่โอกาสพิมพ์ซ้ำมีน้อย

  • ชีวิตตอนนี้คุณรื่นรมย์กับอะไร

ผมอยู่บ้านได้ทุกวัน 3 อาทิตย์เข้าเมืองครั้งหนึ่ง ผมอยู่บ้านกับหมาแมวได้ ก่อนนอนก็เช็คเฟซบุ๊คนิดหน่อย แล้วตื่นสายๆ

  • ตอนนี้คุณกังวลกับเรื่องใดมากที่สุด

เรื่องสุขภาพ เป็นเรื่องธรรมดา คนต้องเกิดแก่ เจ็บ ตาย ต้องระวัง เพราะเราเลือกที่จะอยู่ป่า ไกลผู้คน ไกลโรงพยาบาล

 

  • ทำไมคุณชอบแลกเปลี่ยนกับคนรุ่นใหม่

ก็มีเด็กๆ น้องๆ คุยกันในวงเหล้าสนุกสนาน ผมมีเพื่อนๆ อายุน้อยกว่า เราก็ฟังพวกเขาในเรื่องวิธีคิด การมองโลก ในขณะเดียวกันเขาคุยกับเราก็ได้ประสบการณ์คำเตือนจากคนแก่ๆ ก็แลกเปลี่ยนกัน

ลองมองย้อนตอนเราเด็กๆ เรามองผู้ใหญ่ยังไง เขาก็มองเราแบบนั้นแหละ เราก็เข้าใจ เมื่อก่อนกูก็เคยเป็นแบบมึง เป็นธรรมชาติของเด็ก

  • ชีวิตเคยมีเรื่องที่คาดไม่ถึงบ้างไหม

ผมเคยเป็นอัมพฤกษ์ ไม่คิดว่าจะเป็น ผมเข้าโรงพยาบาลห้าวัน เวลาจะใช้แขนขวาจับแขนซ้าย มันไม่รู้สึกว่าโดนจับ เหมือนเราจับศพตัวเราเอง

  • ตอนนั้นคิดว่าจะหายป่วยไหม

ไม่ได้คิด มาวูบเดียว เราก็คิดว่า ถ้าต้องนอนแบบนี้ จะอยู่ยังไง ถามว่ากลัวไหม กลัวทุกคนแหละ เรื่องแบบนี้ผมไม่เคยนึกถึง ทุกวันนี้ยังต้องกินยาและวัดความดัน

  • ทำให้ชีวิตช้าลงไหม

การทำอะไรของตัวเราจะช้าลง วันเวลาแต่ละวันเร็วขึ้น อาทิตย์เดียวก็แป๊ปเดียว ทำกิจกรรมได้ไม่กี่อย่าง

  • ในช่วงวัยที่ผ่านมา ชอบช่วงวัยไหนมากที่สุด

ผมเคยบอกไว้ว่า 35-50 ปีจะเพลินที่สุด แป๊ปเดียว 50 แล้ว ผมเคยเตือนเด็กๆ ว่า ช่วงวัยนี้จะทำอะไรให้รีบทำ เป็นช่วงที่กำลังสนุก กำลังแข็งแรง กำลังห้าว กำลังสุขุม ทุกอย่างเลย

ช่วงนั้นผมจะทำงานได้ดี แต่ชีวิตคนไม่เหมือนการสร้างถนน มีระยะทาง ต้นทุน ต้องใช้คนอย่างไร วันหนึ่งได้กิโลเมตร งานชีวิตไม่ใช่แบบนั้น งานบางอย่างแค่เริ่มต้น แต่เริ่มต้นด้วยวัยที่แข็งแรง ก็โอเค

  • ในชีวิตที่ผ่านมาคุณภูมิใจกับอะไร

ผมชอบทำบุญ ทำทาน ให้ความรู้ ให้โน้นนี่ ให้เงิน ผมไม่ใช่คนดี แต่ชอบให้

  • ขอถามสักนิด คุณคิดว่ารัฐบาลชุดนี้เป็นยังไงบ้าง

ผมว่าเขาไม่เก่ง แค่นี้ก็คลุมหมดทุกอย่างแล้ว

...........................

ภาพ : เฟซบุ๊ค PHANMABA และเฟซบุ๊ค Chart Korbjitti