บลจ.ยูโอบี ส่อง "หุ้นไทย" ครึ่งหลังปี 64 ยังฟื้นได้น้อย

บลจ.ยูโอบี ส่อง "หุ้นไทย" ครึ่งหลังปี 64 ยังฟื้นได้น้อย

บลจ.ยูโอบี มอง "หุ้นไทย" ครึ่งหลัง ปี 2564 ยังฟื้นได้น้อย เหตุเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำ ไวรัสกลายพันธุ์ กระจายวัคซีนได้ช้า แนวโน้มฟันด์โฟลว์ มีโอกาสไหลกลับไปประเทศพัฒนาแล้ว แนะนักลงทุนกระจายความเสี่ยง หลบในสินทรัพย์ที่สร้างรายได้ ผันผวนต่ำ

จากงานเสวนาออนไลน์ “หุ้น หุ้นกู้ ทองคำ และ คริปโต สินทรัพย์ไหนจะไปต่อครึ่งปีหลัง 2564” โดยสมาคมตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA)  

สำหรับภาพรวมตลาด และแนวโน้มราคาสินทรัพย์แต่ละประเภทในช่วงครึ่งปีหลัง 2564  นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ยูโอบี เปิดเผยว่า เรามองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง 2564 ยังเติบโตได้น้อยสะท้อนจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดจีดีพีปีนี้และปีหน้าลง ซึ่งปีนี้ลดลงเหลือ 1.8% ซึ่งน่าจะเห็นเงินบาทอ่อนค่าลงด้วย และมีผลให้กระแสเงินทุนต่างชาติ(ฟันด์โฟลว์) น่าจะไหลไปในประเทศที่พัฒนาแล้ว ภายใต้นโยบายการเงินสวนทางระหว่างไทยและสหรัฐ 

เนื่องจากประเด็นที่มีส่วนทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ช้า ทั้งวัคซีนมาช้ากว่าที่คาด ไวรัสยังมีการกลายพันธุ์  อย่างไรก็ดี นโยบายการการเงินและการคลังยังผ่อนคลาย โดยเฉพาะนโยบายการคลังที่ผ่อนคลายมาก แต่หากดูจากสหรัฐการทำนโยบายคลังของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยังทำได้ไม่เท่าที่เคยพูดไว้ ทำให้ตลาดหุ้นไม่ดีเท่าที่คาด ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามองในช่วงที่เหลือของปีนี้

หลังจากในครึ่งปีแรกของปีนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐบวกประมาณ 15% ซึ่งตลาดเจอจุดสูงสุดใน 3 พีค  คือ 1.Peak emotion กล้าซื้อหุ้นมีม (meme stocks) 2.Peak expectation เชื่อมั่นวัคซีนมาก และ 3.Peak inflation เชื่อว่าเงินเฟ้อสูงผ่านไปแล้ว

 

  

นายจิติพล กล่าวว่า ปัจจัยสนับสนุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังมีจุดเด่นของการลงทุน คือ การผ่อนคลายนโยบายการคลังที่เข้ามาช่วยค่อนข้างมาก ทำให้สภาพคล่องในระบบสูง

สำหรับการลงทุนในครึ่งปีหลังการลงทุน น่าจะแบ่งการลงทุนเพื่อการกระจายความเสี่ยง ในสินทรัพย์ที่สร้างรายได้ ความผันผวนควรไม่สูง แม้นโยบายการเงินจะเปลี่ยนและเศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้นมากก็ตาม 

โดยกลยุทธ์การลงทุนหลัก ยังมองที่หุ้น และบอนด์ สำหรับหุ้นควรแบ่ง หุ้นมูลค่า ( Value) และหุ้นเติบโต ( Growth) ซึ่งหุ้น Value น่าจะได้อานิสงส์เปิดเมือง และภาครัฐอัดฉีดมากกว่า แต่อาจต้องรับมือกับเศรษฐกิจที่จะฟื้นช้าไปในปี 2565 ด้วย ส่วนในครึ่งปีแรกตลาดประเทศพัฒนาแล้ว ปรับดีกว่าตลาดประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ หรือ Emerging Markeมาก ดังนั้น ในครึ่งปีหลังจึงอาจเห็น ฟันด์โฟลว์ ขยับมาประเทศที่ฟื้นตัวได้ดีบ้าง เช่น ลาตินอเมริกา 

แต่ทั้งนี้ บอนด์ และหุ้น อาจไม่ได้ตอบโจทย์ จากผลตอบแทนน้อย ราคาและผันผวนสูงแล้ว  ดังนั้น แนะว่า นักลงทุน ควรเลือกลงในสินทรัพย์ทางเลือกที่ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อด้วย อาทิ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ที่สอดคล้องไปกับเงินเฟ้อและเชื่อมไปยังโครงสร้างพื้นฐาน 

ส่วนการลงทุนในทองคำปีนี้ คาดว่า ราคาน่าจะเคลื่อนไหวผันผวนระดับปานกลาง โดยน่าจะทรงตัวที่ 1,700 -1,800 ดอลลาร์ต่อ​ออนซ์  และหากปรับขึ้นเกิน 1,900 ดอลลาร์ต่อ​ออนซ์ อาจเห็นการขายทำกำไร และอาจเห็นราคาลงมาแตะ1,700  ดอลลาร์ต่อ​ออนซ์ เมื่อหากเศรษฐกิจปรับดีขึ้น อย่างไรก็ดีต้องยอมรับว่า ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ สินทรัพย์ตัวเลือกมีมากขึ้น อย่างคริปโทเคอร์เรนซี ยังเข้ามาแย่งซีนทองคำ