‘แสนสิริ’จ่อช้อนดีมานด์ต่างชาติ เตรียมพร้อมโปรเจค!รับเปิดประเทศ

‘แสนสิริ’จ่อช้อนดีมานด์ต่างชาติ  เตรียมพร้อมโปรเจค!รับเปิดประเทศ

สัญญาณบวก “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” นำร่องเปิดประเทศวันที่ 1 ก.ค.นี้ ทำให้ดีเวลอปเปอร์ยักษ์ใหญ่ “แสนสิริ” เร่งเตรียมความพร้อมแผนธุรกิจและโครงการที่อยู่อาศัยในมือ ทั้งในตลาดกรุงเทพฯ และ “เมืองท่องเที่ยว” รับโอกาส! ที่กำลังจะฟื้นกลับมาอีกครั้ง

อุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หากประเทศไทยเดินหน้าฉีดวัคซีนได้ตามเป้าหมาย และนำร่องเปิดเมืองตามแผน “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” วันที่ 1 ก.ค.นี้ ตามด้วยเมืองท่องเที่ยวหลัก อาทิ เชียงใหม่ หัวหิน สมุย ฯลฯ ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาไทย จะเป็นตัวแปรสำคัญทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัว เพราะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับหลายภาคส่วนธุรกิจ ทั้งสายการบิน โรงแรม ร้านอาหาร

ประเทศไทยเป็นเมืองท่องเที่ยว ฉะนั้นหากสามารถเปิดประเทศได้เร็วเท่าไร ธุรกิจท่องเที่ยวเดินหน้าได้ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้อำนาจซื้อของคนไทยดีขึ้น และเศรษฐกิจจะยิ่งฟื้นตัวเร็วขึ้นเท่านั้น

“เรื่องสำคัญเวลานี้คือการเปิดประเทศมากกว่าที่จะเป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจ รวมถึงเร่งฉีดวัคซีนที่จะช่วยเกิดภูมิคุ้นกันหมู่ เพราะไม่ว่ารัฐจะมีนโยบายออกมาอย่างไร แต่หากไม่สามารถเปิดประเทศได้ ไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาก็ไม่มีประโยชน์"

จากประสบการณ์เหตุการณ์สึนามิ และเกิดผลกระทบการท่องเที่ยว แต่ชาวต่างชาติโดยเฉพาะสแกนดิเนเวียน ยุโรป รู้จักภูเก็ตมากขึ้นและเดินทางเยือนหลังจากนั้น พร้อมการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตที่มีมากขึ้น หรือยุคหนึ่งที่มีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียมาซื้ออสังหาฯ ในเมืองท่องเที่ยว ภูเก็ต พัทยา ตามมาด้วยนักท่องเที่ยวจีน

เชื่อว่า หลังคิกออฟ “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” ประเทศไทยจะมีโอกาสอีกมากนับจากนี้ และหากสามารถฉีดวัคซีนได้ 100 ล้านโดสในสิ้นปี 2564 ตามเป้าหมาย! เท่ากับประชากรมากกว่า 40 ล้านคน หรือ 70% ของประเทศได้รับวัคซีนเรียบร้อย เช่นเดียวกับในสหรัฐ หรือ อิสราเอล ที่ประชาชนฉีดวัคซีนเกิน 50-60% พบว่าปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดลดน้อยลง ประชาชนมีความมั่นใจมากขึ้น เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ดังนั้นมีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวในปลายปีนี้ หรืออย่างช้าต้นปีหน้า

ทั้งนี้ ตั้งแต่วิกฤติโควิดปี 2563 กระทบภาวะเศรษฐกิจและตลาดอสังหาฯ ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี จากบทเรียนในช่วงวิกฤติก่อนหน้าอย่าง ต้มยำกุ้ง พบว่า มีดีมานด์ที่อั้นไว้ (Pent Up Demand ) หรือ ดีมานด์สะสม หากเศรษฐกิจฟื้นตัว ความมั่นใจของประชาชนเริ่มดีขึ้น และ “ดอกเบี้ย” ยังอยู่ในอัตราที่ต่ำ สอดคล้องไปกับแผนเปิดประเทศ เม็ดเงินเริ่มไหลเวียนเข้าประเทศมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ จะทำให้ดีมานด์ที่อั้นไว้พังทลายในปีหน้า เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ ต้องเตรียมความพร้อมรับโอกาสธุรกิจอีกครั้ง

วิกฤติการณ์หลากหลายครั้งที่ผ่านมา เกิดดีมานด์ของความต้องการบ้านที่อั้นไว้ พิษโควิดครั้งนี้ ทำให้คนชะลอการซื้อ เพราะหลายเหตุผล บางคนมีความสามารถในการซื้อแต่ไม่มั่นใจ

อย่างไรก็ดี ระหว่างนี้ “แสนสิริ” ได้เตรียมพร้อมโครงการ! ทุกมิติ รองรับการขายและการทำตลาดในอนาคต จากที่ผ่านมา “แสนสิริ” ได้เคลียร์สต็อกไปค่อนข้างมาก และทยอยเปิดตัวโครงการใหม่ อาทิ "เดอะมูฟ" ย่านเกษตรฯ เป็นหนึ่งในโครงการที่มีการตอบรับที่ดี ปลายเดือน มิ.ย. เตรียมเปิดตัวโครงการเดอะมูฟ รามคำแหง 22 ตามด้วย เดอะมูฟ บางนา ส่วนบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ เตรียมเปิดกว่า 10 โครงการกระจายทั่วกรุงเทพฯ

นอกจากนี้ ยังมี "ที่ดิน" เตรียมพร้อมพัฒนาโครงการทันทีหากเศรษฐกิจต้นปี 2565 ปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน แน่นอนว่า โปรเจคใหม่ๆ จะตามมาอีกมาก

สำหรับปีนี้ เบื้องต้นได้ปรับเป้าหมายยอดขายและยอดโอน “เพิ่มขึ้น” เป็น 31,000 ล้านบาท เนื่องจากช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา สามารถทำยอดขายไปได้แล้ว 14,000-15,000 ล้านบาท นับเป็นสัญญาณที่ดี! และมีความเป็นไปได้ว่าอาจมีการปรับเป้าเพิ่มขึ้นอีกครั้ง แต่ต้องติดตามสถานการณ์โควิดเดือน ก.ค.- ส.ค. และแผนฉีดวัคซีนเดินไปตามเป้าหมาย ความเชื่อมั่นในภาพรวมและทุกภาคส่วนจะกลับคืนมา ส่งผลดีต่อตลาดไตรมาส 3

อุทัย กล่าวต่อถึงแผนทำตลาดเจาะตรงชาวต่างชาติว่า พอร์ตสินค้าส่วนใหญ่เป็น “คอนโดมิเนียม” ในกรุงเทพฯ ตามด้วยเมืองท่องเที่ยว ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา หัวหิน ซึ่งขณะนี้ในหัวหินมีโครงการ La Habana เหลืออยู่ 200 ยูนิต โครงการ THE BASE เซ็นทรัล-ภูเก็ต เหลือขายกว่า 100 ยูนิต พร้อมนำมาขายให้ชาวต่างชาติได้ทันที ส่วนที่ เชียงใหม่ มีที่ดินพร้อมพัฒนาโครงการสำหรับชาวต่างชาติ เช่นเดียวกับที่พัทยา โครงการเอดจ์ เซ็นทรัล พัทยา จะแล้วเสร็จไตรมาส 3 นี้ จำนวนยูนิตเหลือขายไม่ถึง 100 ยูนิต หากชาวต่างชาติเข้ามาสามารถเปิดขายได้ทันที นอกจากนี้ยังมีแลนด์แบงก์ ภูเก็ต หัวหิน พัทยา ชลบุรี เชียงใหม่ ที่สามารถพัฒนาโปรเจคใหม่เปิดขายให้ชาวต่างชาติได้เช่นกัน

โดยช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา แสนสิริ สามารถโอนคอนโดให้ชาวต่างชาติเป็นมูลค่า 6,500 ล้านบาท มาจาก โครงการ เอ็กซ์ที ห้วยขวาง, โอกะเฮ้าส์ พระราม4, เอ็กซ์ที เอกมัย, The Line สุขุมวิท 101 เทียบปี 2562 มียอดโอนลูกค้าต่างชาติกว่า 7,000 ล้านบาท

กลุ่มลูกค้าต่างชาติหลักที่มาซื้ออสังหาฯ ในประเทศไทยเป็นชาวจีนราว 50% อีก 30% เป็นฮ่องกง ที่เหลือเป็นไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย อังกฤษ ซึ่งชาวจีนทางเหนือ อาทิ ปักกิ่ง นิยมซื้อโครงการที่หัวหิน และภูเก็ต ชาวจีนทางภาคใต้ อาทิ กวางโจว เซินเจิ้น จะนิยมโครงการทางภาคเหนือของประเทศไทย เช่น เชียงใหม่ รวมทั้งกรุงเทพฯ ชาวอังกฤษ นิยมหัวหิน ภูเก็ต ส่วนระดับราคาที่เป็นที่นิยมของคนจีนอยู่ราว 3-5 ล้านบาท ไต้หวัน 5-10 ล้านบาท ฮ่องกง 3-7 ล้านบาท ยุโรป 5-10 ล้านบาท

“คนต่างชาติมองอสังหาฯ เมืองไทยเป็นสินค้าที่เข้าถึงจับต้องได้ (Affordable ) อาหารการกินอร่อยราคาถูก บริการดี ทำให้ซื้อไว้เพื่อพักผ่อน เวลามาเที่ยวเมืองไทยแทนที่จะไปพักตามโรงแรม”

ทั้งนี้ ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ยอดขายชาวต่างชาติสูงสุดอยู่ที่ 13,000-14,000 ล้านบาท แต่เมื่อเผชิญพิษโควิดปี 2563 มียอดขายเพียง 1,000 ล้านบาท ซึ่งปีนี้น่าจะขยับขึ้นมาเป็น 2,000-3,000 ล้านบาท และการเติบโตหลังจากนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยข้างต้นทั้งการฉีดวัคซีนตามแผน การเดินหน้าเปิดประเทศ และประเทศไทยจะบริหารจัดการปัญหาการระบาดระลอก 3 ได้ดีแค่ไหน? รวมถึงนโยบายปลดล็อกต่างชาติซื้อที่ดิน ลดภาษีรายได้ โฟกัส 4 กลุ่มเป้าหมายนั้น เป็นหนึ่งในปัจจัยบวกแต่ขึ้นอยู่รัฐบาลว่าจะดำเนินการได้เร็วแค่ไหน

ในเดือน ส.ค.หากฉีดวัคซีนได้ 50 ล้านโดส เท่ากับไปได้ “ครึ่งทาง” ต่างชาติมองว่าประเทศไทยจัดการทางด้านสาธาณณสุขได้ดี มั่นใจที่จะเดินทางมาเยือนแน่นอน

สำหรับ “แสนสิริ” คาดว่าจะใช้เวลา 1-2 ปี ในการฟื้นยอดขายชาวต่างชาติกลับมาอยู่ที่ 13,000-14,000 ล้านบาท