‘ดาวโจนส์’ปิดลบ54จุดถูกกดดันจากหุ้นเทคโนโลยี

‘ดาวโจนส์’ปิดลบ54จุดถูกกดดันจากหุ้นเทคโนโลยี

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดตลาดวันจันทร์(17พ.ค.)ปรับตัวร่วงลง 54 จุด เพราะถูกกดดันจากหุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่เคลื่อนไหวในแดนลบ โดยหุ้นเน็ตฟลิกซ์และแอ๊ปเปิ้ล ปรับตัวร่วงลงประมาณ 0.9%

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ลดลง 54.34 จุด หรือ 0.16% ปิดที่ 34,327.79 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 10.56 จุด หรือ 0.25% ปิดที่ 4,163.29 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 50.93 จุด หรือ 0.38% ปิดที่ 13,379.05 จุด

นอกจากนี้ ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อก็เป็นปัจจัยลบแก่ตลาดหุ้นในวันนี้หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลสหรัฐรายงานดัชนีราคาเพิ่มขึ้นในเดือนเม.ย. ถือเป็นการเพิ่มขึ้นมากสุดเมื่อเทียบปีต่อปีนับตั้งแต่ปี 2551

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ลบ 1.1%, ดัชนีเอสแอนด์พี500 ลบ 1.4% และดัชนีแนสแด็ก ลบ 2.3% โดยดัชนีทั้ง 3 ดิ่งลงเทียบรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 26 ก.พ. ท่ามกลางความกังวลที่ว่า ตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นเกินคาดจะกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ รวมทั้งลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี)

แต่ราคาหุ้น AT&T และ Discovery พุ่งขึ้นสวนทางตลาดในวันนี้ ขานรับข่าวที่ว่า AT&T ซึ่งเป็นบริษัทสื่อยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ บรรลุข้อตกลงในการควบรวมกิจการของ WarnerMedia เข้ากับ Discovery ซึ่งจะสามารถแข่งขันกับบริษัทเน็ตฟลิกซ์ และดิสนีย์ อิงค์ ซึ่งเป็นคู่แข่งในตลาด

ก่อนหน้านี้ AT&T ได้ซื้อกิจการของ Time Warner ในวงเงิน 1.09 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2561 ทำให้ AT&T สามารถครอบครอง CNN, HBO และ Warner Bros ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนชื่อ Time Warner เป็น WarnerMedia

หากข้อตกลงควบรวมกิจการ WarnerMedia เข้ากับ Discovery ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็จะทำให้มีการจัดตั้งบริษัทแห่งใหม่ขึ้น ซึ่งแยกจาก AT&T และจะมีมูลค่าตลาดมากถึง 1.50 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งจะสามารถแข่งขันกับบริษัทเน็ตฟลิกซ์ และดิสนีย์ อิงค์

ขณะนี้ HBO และ HBO Max มีสมาชิกทั่วโลกราว 64 ล้านราย ส่วน Discovery ซึ่งมีช่องสารคดีที่น่าสนใจมากมาย รวมถึง Animal Planet และ Discovery Channel มีสมาชิกราว 15 ล้านราย

ด้านเน็ตฟลิกซ์มีสมาชิกทั่วโลกราว 208 ล้านราย ขณะที่ดิสนีย์เปิดเผยว่า แพคเกจ Disney+ มีสมาชิกมากกว่า 100 ล้านราย

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มค้าปลีก ได้แก่ วอลมาร์ท อิงค์, โฮม ดีโปท์ และเมซีส์ ในวันนี้(18พ.ค.)ตามเวลาสหรัฐ ซึ่งจะบ่งชี้ภาวะการใช้จ่ายของผู้บริโภค ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ขณะนี้ บริษัทมากกว่า 90% ในดัชนี S&P 500 ได้เสร็จสิ้นการรายงานผลประกอบการในไตรมาส 1 แล้ว โดยมีจำนวน 86% ที่รายงานตัวเลขกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่สูงเกินคาด ซึ่งเป็นตัวเลขสูงเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ที่ FactSet เริ่มรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในปี 2551

นอกจากนี้ ตลาดจับตารายงานการประชุมนโยบายการเงินของเฟดประจำวันที่ 27-28 เม.ย.ที่จะมีการเผยแพร่ในวันพุธ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางนโยบายอัตราดอกเบี้ยของเฟด หลังมีการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นเกินคาด