สมาร์ทคอนกรีต เพิ่มช่องทางขายผ่านโมเดิร์นเทรด-ออนไลน์

สมาร์ทคอนกรีต เพิ่มช่องทางขายผ่านโมเดิร์นเทรด-ออนไลน์

สมาร์ทคอนกรีต ปรับกลยุทธ์ขยายช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านกลุ่มโมเดิร์นเทรด -ออนไลน์หวังกระจายสินค้าเข้าสู่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพิ่มขึ้นหลังได้แรงหนุนจากโครงการภาครัฐและเอกชนกระตุ้นส่งผลให้รายได้ไตรมาแรกโต5 %

นายรังสี ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ทคอนกรีต จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายอิฐมวลเบาใช้ในงานก่อสร้างและงานกั้นผนังอาคาร เผยว่า แนวโน้มธุรกิจไตรมาสสองปีนี้ บริษัทพยายามรักษาการเติบโตต่อเนื่อง แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด 19 ระลอก3 และการเข้าสู่ช่วงฤดูฝนที่มาเร็วกว่าปกติส่งผลให้หน้างานชะลอ โดยบริษัทได้ปรับกลยุทธ์มุ่งเน้นขยายช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านกลุ่มโมเดิร์นเทรดและออนไลน์ทดแทน เพื่อกระจายสินค้าเข้าสู่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพิ่มขึ้น


นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากงานในส่วนภาคเอกชนโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบ แนวสูง นิคมอุตสาหกรรม คลังสินค้าในเขตพื้นที่อีอีซี ส่วนงานภาครัฐ บริษัทยังคงได้รับงานโครงการเมกะโปรเจคและงานขนาดกลางที่มีการลงทุน ขณะที่ตลาดต่างประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือกลุ่ม  AEC ที่เป็นการรวมตัวกันของ 10 ประเทศในกลุ่มอาเซียน ประกอบไปด้วย ประเทศไทย, ลาว, เมียนม่าร์, กัมพูชา, ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, บรูไน, เวียดนาม และสิงคโปร์  ปัจจุบันบริษัทได้รับคำสั่งซื้อจากดีลเลอร์ในประเทศกัมพูชาและสปป.ลาวต่อเนื่อง โดยนำสินค้าเข้าไปใช้กับงานโครงการต่างๆ และนำสินค้าเข้าไปวางจำหน่ายในร้านขายวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างขนาดใหญ่

โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตอย่างน้อย 5% โดยสัดส่วนรายได้จะมาจากงานภาครัฐ  40% ภาคเอกชน  59% และต่างประเทศ 1% ขณะที่สัดส่วนรายได้แบ่งตามกลุ่มผลิตภัณฑ์อิฐมวลเบา 94 % อิฐมวลเบาตกแต่ง 5 % และอื่นๆ 1 % หลังจากที่ผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2564 บริษัทมีรายได้รวม 123.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 117.92   ล้านบาท จำนวน  5.99 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5.08 % และมีกำไรสุทธิ 14.53 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 12.52 ล้านบาท จำนวน 2.01 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 16.08 %


ทั้งนี้ ผลประกอบการของบริษัทปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากปริมาณการใช้งานวัสดุอิฐมวลเบาของโครงการเมกะโปรเจคภาครัฐ  โครงการก่อสร้างภาคเอกชน ประกอบกับบริษัทมีการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ ลดการสูญเสียระหว่างการผลิต  อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมาทำการตลาดเชิงรุก แนะนำสินค้าให้เป็นที่รู้จัก ผลักดันสินค้าผ่านช่องทางการจำหน่ายให้หลากหลาย และมีการขยายฐานลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการใช้กลยุทธ์ Online to Offline เพื่อกระตุ้นการสร้างยอดขายให้เติบโต ขณะที่ช่องทางการจำหน่ายผ่านร้านค้าโมเดิร์นเทรดเพิ่มขึ้น 107 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน