'Work From Home' ช่วง 'โควิด' ระบาดอาจไม่ง่าย แบ่งเวลาทำงานยังไง?

'Work From Home' ช่วง 'โควิด' ระบาดอาจไม่ง่าย แบ่งเวลาทำงานยังไง?

หนึ่งในวิธีลดการแพร่ระบาดของ "โควิด" ก็คือมาตรการ "Work From Home" (ทำงานที่บ้าน) แต่วิธีนี้อาจไม่ง่ายกับทุกคน บางคนอาจไม่ได้งานหรือรู้สึกเครียดมากกว่าเดิม แต่ในเมื่อจำเป็นต้องทำ เราควรแบ่งเวลางาน-เวลาส่วนตัวยังไงดี?

ไม่กี่วันก่อน ภาครัฐได้ออกมาตรการควบคุมการระบาดของ "โควิด" หลายข้อด้วยกัน หนึ่งในมาตรการที่พูดถึงกันมาก และถูกนำมาปฏิบัติแล้วก็คือ "Work From Home" หรือการทำงานที่บ้าน เพื่อจำกัดวงจรการระบาด ส่งผลให้ผู้คนลดการเดินทางผ่านขนส่งสาธารณะ ลดการสัมผัสใกล้ชิด ลดการอยู่รวมกันของคนหมู่มาก

แต่การทำงานแบบ "Work From Home" อาจไม่ได้เหมาะกับทุกคน เพราะบางคนไม่สามารถแยกแยะเวลางานและเวลาส่วนตัวไม่ได้ กลายเป็นทำงานตลอดเวลาและเครียดกว่าเดิม แต่ในเมื่อจำเป็นต้องทำ จะมีวิธีไหนที่จะช่วยให้ทำงานได้ราบรื่น ขณะเดียวกันก็ไม่ทำให้ชีวิตส่วนตัวพังเพราะงาน กรุงเทพธุรกิจออนไลน์รวบรวม How to มาให้ลองปรับใช้กันดู ดังนี้

1. จัดตารางเวลางาน เหมือนไปทำงานที่ออฟฟิศ

กำหนดเวลาในการทำงาน Work From Home อย่างชัดเจน และให้ใกล้เคียงกับเวลาทำงานที่เคยทำในออฟฟิศ จะช่วยให้จัดการทุกอย่างได้ง่ายขึ้น เช่น สมมติเวลาทำงานปกติคือ 09.00 น.-17.00 น. ก็จะต้องใช้เวลาในการทำงานในกรอบเวลาที่ใกล้เคียงกัน และทำอย่างเคร่งครัด ไม่ปล่อยให้เวลาสูญเปล่าไปกับสิ่งเร้าอื่นๆ ภายในบ้าน เช่น สัตว์เลี้ยง การพูดคุยกับคนในบ้าน หรือการพักผ่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : 

2. 'เวลางาน' Vs 'เวลาส่วนตัว' ต้องแยกออกจากกัน

"แยกเวลางานกับเวลาส่วนตัวออกจากกัน" ไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อต้อง "Work from home" เพราะบรรยากาศที่บ้านชวนให้เราปลีกตัวออกจากงานได้ตลอดเวลา ฉะนั้น จึงต้องแบ่งเวลาส่วนตัวให้ดี จึงจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยลดความเครียดหลังเวลางาน และไม่รู้สึกว่าตัวเองต้องทำงานอยู่ตลอดเวลาด้วย ให้ลองทำตามนี้

- จัดทำตารางทำงาน : กำหนดชัดเจนว่าเริ่มงานกี่โมง เลิกงานกี่โมง บอกคนที่บ้านให้รับรู้ร่วมกันและงดรบกวน

- สื่อสารกับทีมให้ดี : ชี้แจงให้ชัดเจนว่าทำงานเวลาไหน หยุดทำงานเวลาไหนบ้าง อาทิ หากคุณต้องการใช้เวลาตอนเย็นกับครอบครัว ต้องให้ทีมรับรู้ว่าคุณไม่สามารถทำงานในช่วงเวลานั้นได้ 

- หยุดพัก : แบ่งเวลาพักระหว่างทำงาน เช่น กำหนดว่าทุกๆ 2-3 ชั่วโมง ให้พักได้ 10-15 นาที และให้เวลาพักทานข้าวเที่ยง 1 ชม. เหมือนตอนไปทำงานปกติ เพื่อไม่ให้ตึงเครียดเกินไป

- ตัดสิ่งรบกวนขณะทำงาน : จัดการวางเครื่องมือสื่อสาร เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็ปเล็ต ปิดทีวี ปิดกั้นเสียงรบกวนอื่นๆ เพราะสิ่งเร้าเหล่านี้จะทำให้เสียสมาธิ หรือดึงดูดให้หลุดออกไปจากการทำงาน ทำให้งานเสร็จช้าลง หรืองานบกพร่อง หรืองานไม่เสร็จ (ทั้งนี้ การเปิดเพลงเบาๆ คลอไปด้วยพบว่าทำให้มีสมาธิในการทำงานมากขึ้น)

3. จัดพื้นที่ทำงานเฉพาะ แยกจากส่วนพักผ่อน

การ "จัดพื้นที่" ทำงานเป็นสัดส่วนที่ชัดเจน จึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสร้างบรรยากาศในการทำงาน ให้รู้สึกจดจ่อกับการทำงานเป็นอันดับแรก ซึ่งช่วยในการคิดงานได้มากกว่าทำงานอยู่ในบรรยากาศของบ้าน ที่ทำให้เราคุ้นชินกับการพักผ่อนมากกว่าการทำงาน

อย่างไรก็ตาม พื้นที่ทำงาน ไม่จำเป็นต้องหน้าตาเหมือนออฟฟิศ เราอาจจะประยุกต์ใช้โต๊ะกินข้าวเคาท์เตอร์ในครัว ตู้หัวเตียง หรือมุมใดๆ ก็ได้ในบ้าน เพียงแต่กำหนดพื้นที่ให้ชัดเจนว่าเป็น "พื้นที่ทำงาน" เพื่อตัดบริบทความสบายที่แสนดึงดูดจากรอบข้างออกไป 

4. วางแผน ลำดับความสำคัญของงาน 

เคล็ดไม่ลับที่ทำให้งานเสร็จตามเป้าได้ง่ายขึ้น โดยเรียงลำดับ ดังนี้

- ทำภารกิจที่มีลำดับความสำคัญสูงสุดก่อน

- วางแผนวันตามวิถีชีวิตธรรมชาติของคุณ เช่น เลือกทำงานหนักที่สุดหรือยากที่สุด ในเวลาที่คุณมีพลังงานมากที่สุดของวัน (แต่ละคนไม่เหมือนกัน)

- วางแผนรางวัลของตัวเอง และการหยุดพักระหว่างวัน

- ใช้เวลา 2-3 นาทีก่อนที่จะเข้านอนเพื่อวางแผนสำหรับวันถัดไป จากนั้นก็สามารถตัดการคิดงานออกจากหัวได้และผ่อนคลายจิตใจ วิธีนี้ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้นอีกด้วย

5. แต่งตัวเหมือนออกไปทำงาน 

วิธีนี้จะช่วยลดความรู้สึกเป็นส่วนตัวเกินไปเมื่อต้องทำงานที่บ้าน การสวมเสื้อผ้าที่พร้อมสำหรับการทำงาน จะช่วยดึงเราไม่ให้กลับไปเกลือกกลิ้งบนที่นอน ช่วยสร้างพลังความพร้อมสำหรับการทำงานในแบบที่คุ้นชินทุกครั้งที่ต้องออกไปทำงาน

ในทางตรงกันข้ามการทำงานบนเตียงนอนหรือโซฟา ทั้งๆ ที่ยังสวมชุดนอน จะทำให้สมองของเราสร้างสรรค์งานได้ยาก เพราะยังอยู่ในโหมดของการพักผ่อนนั่นเอง