ที่ประชุม กนง. มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.50% ในการประชุมนัดที่สองของปีเมื่อวันที่ 24 มี.ค. ที่ผ่านมา ถือว่าตรงกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงสูง เต็มไปด้วยสารพัดปัจจัยเสี่ยง
โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่ยังอ่อนแอ การฟื้นตัวจะเป็นไปอย่างช้าๆ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยทั้งความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน ประสิทธิภาพของวัคซีน ความพร้อมในการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งล่าสุด กนง. ได้หั่นคาดการณ์ตัวเลขนักท่องเที่ยวปีนี้เหลือ 3 ล้านคน จากเดิมคาดไว้ที่ 5.5 ล้านคน และปีหน้าปรับลดเหลือ 21.5 ล้านคน จากเดิมที่ 23 ล้านคน
“ภาคการท่องเที่ยว” ที่อาการยังโคม่าจากผลกระทบของวิกฤตโควิด-19 ยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ฉุดรั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย เพราะเราพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 12% ต่อจีดีพี
จากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ยังอ่อนแอ “ดอกเบี้ยต่ำ” จึงยังจำเป็น เพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ลดต้นทุนของภาคธุรกิจ ลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน โดยหลายๆ หน่วยงานมีการคาดการณ์ว่าแบงก์ชาติน่าจะคงดอกเบี้ยที่ 0.50% ไปตลอดทั้งปี
ดังนั้น “ธีมดอกเบี้ยต่ำ” คงจะอยู่กับเราไปอีกระยะหนึ่ง จนกว่าเศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งหนึ่งในหุ้นที่จะได้รับอานิสงส์จากดอกเบี้ยต่ำ คือ “กลุ่มอสังหาฯ” โดยจะได้รับประโยชน์ทั้งในฝั่งของเจ้าของโครงการและผู้ซื้อจากต้นทุนดอกเบี้ยที่ลดลง
จึงทำให้ช่วงนี้หุ้นอสังหาฯ หลายๆ ตัวกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ราคาพุ่งแรงทันทีตั้งแต่ทราบผลการประชุม กนง. แต่สแกนดูแล้วส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นไซส์เล็กๆ ราคา “ไม่เต็มบาท” ที่ฮอต! ที่สุดรอบนี้เห็นจะเป็นบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ราคาฝ่าแนวต้านสำคัญ 1 บาท ขึ้นมาได้ ทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 1 ปี โดยปิดการซื้อขายล่าสุดที่ 1.04 บาท เพิ่มขึ้น 0.01 บาท หรือ 0.97%
ตามด้วยบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ราคาบวกกว่า 11% ล่าสุดมาปิดที่ 2.44 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาท หรือ 0.83% ส่วนน้องใหม่ที่พึ่งเข้าตลาดมาได้ไม่นานบริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA แรงไม่แพ้ใคร เดินหน้าทำออลไทม์ไฮ ล่าสุดปิดที่ 8.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.55 บาท หรือ 7.19%
จะเห็นว่าตัวหลักๆ ที่ขึ้นมารอบนี้ นอกจากจะเป็นหุ้นไม่เต็มบาทแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการที่เน้นโครงการแนวสูงและราคาหุ้นไม่ขยับมานาน จึงใช้จังหวะแบงก์ชาติคงดอกเบี้ยไล่ราคาขึ้นมาอีกรอบ แต่ดูแล้วน่าจะเป็นการเก็งกำไรในระยะสั้นๆ เพราะหากพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐาน ต้องยอมรับว่าปีนี้ธุรกิจอสังหาฯ ยังเหนื่อยแน่นอน ท่ามกลางกำลังซื้อที่ยังอ่อนแอ
ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังเร่งระบายสต็อกคงค้าง แทนที่จะเปิดโครงการใหม่เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา ตลาดคงไม่ได้หวือหวามาก ส่วนมาตรการรัฐที่ออกมาอย่างการต่อเวลาปรับลดค่าธรรมเนียมการโอนจาก 2% เหลือ 0.01% และค่าธรรมเนียมการจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% ออกไปอีก 1 ปี คงช่วยกระตุ้นอะไรไม่ได้มาก เป็นเพียงการประคับประคองไม่ให้แย่ไปกว่านี้
ขณะเดียวกันผู้ประกอบการหลายค่ายก็มีการออกแคมเปญโปรโมชั่นต่างๆ เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของลูกค้าในส่วนนี้อยู่แล้ว ส่วนมาตรการคุมเข้มสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ยังเป็นอีกหนึ่งข้อจำกัดสำคัญต่อการฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ
คงต้องรอดูว่ามาตรการ LTV ที่บังคับใช้มาตั้งแต่ เม.ย. 2562 และจะครบกำหนด 2 ปี ในเดือน เม.ย. นี้ ซึ่งจะทำให้ผู้ที่สัญญาบ้านหลังที่ 1 สามารถทำธุรกรรมเพื่อซื้อบ้านหลังที่ 2 ราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท ได้บนเงื่อนไขขอสินเชื่อวงเงินสูงสุดถึง 90% จากเดิมกำหนดให้ผู้กู้ซื้อบ้านหลังที่ 2 หากซื้อบ้านหลังแรกมาไม่ถึง 2 ปี ต้องวางเงินดาวน์ 20% หรือ ขอสินเชื่อได้เพียง 80% หวังว่าการปลดล็อกในครั้งนี้น่าจะช่วยกระตุ้นและจูงใจผู้ซื้อได้บ้าง