'โควิด-19' เร่งเกิด 'เศรษฐกิจ 3 ขั้ว' เร็วขึ้น

'โควิด-19' เร่งเกิด 'เศรษฐกิจ 3 ขั้ว' เร็วขึ้น

ส่องแนวโน้ม "เศรษฐกิจ 3 ขั้ว" ที่จะเกิดขึ้นจากการที่ผลกระทบวิกฤติโควิด-19 เข้ามาเป็นตัวเร่ง ทั้ง และมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกและภาคธุรกิจต่างๆ อย่างมากในช่วงทศวรรษหน้า รวมถึงเป็นความท้าทายเศรษฐกิจไทยที่ต้องเตรียมรับมือให้ทัน

แม้ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกจะได้ประโยชน์จากกระแสโลกาภิวัตน์และการเปิดเสรีการค้าการลงทุน ซึ่งมีส่วนช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและการลดความยากจนในประเทศต่างๆ แต่ภายหลังวิกฤติการเงินโลกในปี 2551 หลายประเทศก็เริ่มตั้งคำถามต่อประโยชน์และต้นทุนของกระแสโลกาภิวัตน์ โดยเฉพาะประเด็นการนำไปสู่การกระจายรายได้ที่ไม่เท่าเทียมกัน 

ทำให้เราเห็นแนวโน้มการชะลอตัวและการย้อนกลับของกระแสโลกาภิวัตน์ สะท้อนจากสัดส่วนมูลค่าการค้าระหว่างประเทศต่อจีดีพีโลกที่ปรับลดลง หลังขึ้นไป peak ที่ประมาณ 60% ในปี 2551 โดยเป็นผลจากการลดลงของสัดส่วนการค้าของจีนและสหรัฐเป็นสำคัญ รวมทั้งสัดส่วนของห่วงโซ่การผลิตข้ามประเทศต่อมูลค่าการส่งออกที่ลดลงในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 จะยิ่งทำให้แนวโน้มเหล่านี้เร่งตัวมากขึ้น ประเทศต่างๆ จะให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายและการผลิตในประเทศมากขึ้น เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจมากขึ้น เพื่อเพิ่มความมั่นคงและลดความเสี่ยงจากปัญหาการหยุดชะงักของห่วงโซ่การผลิต โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีนัยเชิงยุทธศาสตร์ เช่น สินค้าไฮเทค อุปกรณ์ทางการแพทย์และอาหาร เป็นต้น ขณะที่ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมที่รุนแรงขึ้นจะยิ่งทำให้รัฐบาลของประเทศต่างๆ เน้นการดูแลการจ้างงานและการใช้จ่ายในสินค้าและบริการที่ผลิตในประเทศเป็นสำคัญ 

นอกจากนั้น ผลประโยชน์ของมหาอำนาจทั้งสามจะมีแนวโน้มต่างกันมากขึ้น ความเป็นคู่แข่งเชิงยุทธศาสตร์เพื่อความเป็นผู้นำระหว่างสหรัฐและจีนจะไม่ได้หายไป แต่จะยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้นทั้งด้านการค้า เทคโนโลยีและภูมิรัฐศาสตร์ แม้ตลาดจะคาดการณ์ว่าการดำเนินนโยบายการค้าภายใต้ประธานาธิบดีไบเดน จะยึดหลักพหุภาคี และมีโทนของการเจรจาที่ดีกว่าภายใต้ประธานาธิบดีทรัมป์ แต่สหรัฐจะยังมองจีนเป็นคู่แข่งทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศที่สำคัญที่สุดต่อไป 

ไบเดนเองก็ได้หาเสียงบนพื้นฐานของการเชื่อมโยงนโยบายการค้าและนโยบายต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจและการจ้างงานของสหรัฐ จึงคาดได้ว่าความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีนจะดำเนินต่อไปและอาจเข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องมาตรฐานแรงงานและสิทธิมนุษยชนที่พรรคเดโมแครตให้ความสำคัญ 

นอกจากนั้น สหรัฐมีแนวโน้มที่จะเพิ่มบทบาทของภาครัฐ ผ่านนโยบายอุตสาหกรรมเชิงรุกและการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมที่มีนัยเชิงยุทธศาสตร์ เช่น เทคโนโลยีดิจิทัลและพลังงานทดแทน รวมทั้งการให้แรงจูงใจกับธุรกิจสหรัฐให้ย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ หรือคงการผลิตไว้ในสหรัฐจะทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้น

ขณะที่จีนภายใต้แผนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจฉบับใหม่ Dual Circulation จะให้ความสำคัญกับการเพิ่มกำลังซื้อ และการใช้จ่ายในประเทศที่มีตลาดขนาดใหญ่ เพื่อชดเชยอุปสงค์จากการค้าระหว่างประเทศที่มีแนวโน้มชะลอลงในระยะปานกลาง ควบคู่กับการพัฒนาฐานการผลิตในประเทศให้มีความแข็งแกร่ง เพื่อลดการพึ่งพาห่วงโซ่การผลิตและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ซึ่งทวีความสำคัญหลังจากสหรัฐใช้นโยบายกีดกันการทำธุรกิจและการเข้าถึงเทคโนโลยีกับธุรกิจจีน 

ไม่ว่าจะเป็น Huawei หรือ Tiktok รวมทั้งตัวอย่างที่สำคัญ คือการเร่งพัฒนาเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ หลังจากบริษัทของจีนตกเป็นรองเทคโนโลยีของ TSMC บริษัทไต้หวันซึ่งเป็นผู้ผลิตชิพหลักให้กับ Apple ขณะเดียวกันจีนจะยังใช้นโยบาย Belt and Road เพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจกับประเทศกำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นทั้งตลาดส่งออกที่จะมาชดเชยการส่งออกไปยังสหรัฐที่จะลดลง และเป็นแหล่งวัตถุดิบด้วย

ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างยุโรปกับจีนก็จะท้าทายมากขึ้น แม้ยุโรปจะกังวลต่อประเด็นความไม่เป็นธรรมทางการค้า การลงทุน การคุ้มครองสิทธิประโยชน์ทางปัญญาและปัญหาสิทธิมนุษยชน จึงมีแนวโน้มที่จะร่วมมือกับสหรัฐในการสร้างแนวร่วมพหุภาคีในการกดดันจีน แต่ยุโรปก็น่าจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับจีนโดยตรง เนื่องจากมีการพึ่งพาเศรษฐกิจจีนโดยเฉพาะตลาดส่งออกและการลงทุนของธุรกิจในสัดส่วนสูง 

ขณะที่แม้สหรัฐและยุโรปจะมีจุดยืนที่คล้ายกันในประเด็นความมั่นคงและปัญหาโลกร้อน แต่ก็มีความขัดแย้งสำคัญในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นนโยบายของยุโรปที่จะเก็บภาษี และการกำหนดกฎเกณฑ์ด้าน data privacy กับบริการเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งจะกระทบต่อธุรกิจขนาดใหญ่ของสหรัฐหรือการใช้นโยบายด้านต่างๆ เพื่อปกป้องธุรกิจของตนเองจากการเข้ามาแข่งขันจากต่างประเทศ ซึ่งประเด็นเหล่านี้จะทำให้ยุโรปต้องหาจุดยืนที่สมดุล ในการจัดการความสัมพันธ์กับทั้งสหรัฐและจีน

แนวโน้มเหล่านี้จะทำให้เกิดกลุ่มเศรษฐกิจ 3 ขั้วที่ชัดเจนขึ้น และจะมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกและภาคธุรกิจต่างๆ อย่างมากในช่วงทศวรรษหน้า ห่วงโซ่การผลิตจะมีแนวโน้มสั้นลง จากที่เคยที่เป็นห่วงโซ่การผลิดระดับโลกบนพื้นฐานของประสิทธิภาพการผลิตเป็นหลัก จะเป็นห่วงโซ่การผลิตระดับภูมิภาคมากขึ้น มีแนวโน้มการดึงฐานการผลิตในสินค้าเชิงยุทธศาสตร์กลับประเทศตนหรือไปตั้งอยู่ในประเทศที่เป็นพันธมิตร บนพื้นฐานของความมั่นคงและความปลอดภัยของห่วงโซ่การผลิตมากขึ้น 

การค้าภายในภูมิภาคเดียวกันจะเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่การค้าขายข้ามกลุ่มจะลดลง โดยเป็นผลจากห่วงโซ่การผลิตที่สั้นลงและมาตรการกีดกันทางการค้าที่จะมีมากขึ้น โดยเฉพาะกับประเทศที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มการค้าเดียวกัน 

ภายใต้ความท้าทายข้างต้น ไทยจำเป็นต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อเตรียมรับมือกับโอกาสและความท้าทายที่จะเข้ามา สิ่งสำคัญคือการปรับพื้นฐานเศรษฐกิจให้เข้มแข็งเพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนและเทคโนโลยีจากธุรกิจที่ต้องการกระจายการลงทุนออกมาจากจีน ผ่านการยกระดับทักษะแรงงาน การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล และการสร้างเครือข่ายพันธมิตรการค้าการลงทุนด้วยการเข้าร่วมกรอบข้อตกลงทางการค้ากับประเทศต่างๆ มากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากข้อกีดกันทางการค้าการลงทุนในอนาคต และใช้ศักยภาพของไทยในการเป็นศูนย์กลางของการเชื่อมโยงด้านเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนอย่างเต็มที่