เปิดโผหุ้นหลบภัยการเมือง โบรกเชียร์ อิเล็กทรอนิกส์-อาหาร-ค้าปลีก -ปันผลสูง

เปิดโผหุ้นหลบภัยการเมือง โบรกเชียร์ อิเล็กทรอนิกส์-อาหาร-ค้าปลีก -ปันผลสูง

โบรกฯ ชี้ หวั่นการชุมนุมที่ยืดเยื้อ แนะหาหุ้นหลบภัยหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบ "เมย์แบงก์กิมเอ็ง"  เชียร์กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์-อาหาร-ค้าปลีก ด้านบล.เอเซีย พลัส แนะนำถือเงินสด 35% ของพอร์ตการลงทุน ส่วนอีก 65% เน้นลงทุนหุ้นปันผลและกลุ่มอิงเศรษฐกิจโลก

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการนักกลยุทธ์การลงทุนฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าปัจจุบันตลาดหุ้นไทยอ่อนแอกว่าตลาดในภูมิภาค เนื่องจากมีปัจจัยสถานการณ์การเมืองในประเทศที่ยังไม่สามารถหาทางออกได้ในระยะสั้นนี้ ซึ่งส่งผลให้เกิดแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่วิตกกังวลต่อสถานการณ์การชุมนุมที่ยืดเยื้อ รวมถึงนักลงทุนทั่วไปที่ชะลอการลงทุนเพื่อรอดูความชัดเจนก่อน

ทั้งนี้มองว่าหากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ตลาดหุ้นมีโอกาสปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมอาจมีแรงเทขายออกมาจำนวนมาก โดยสำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้จึงอยากแนะนำให้นักลงทุนเลือกลงทุนในกลุ่มหุ้นที่หลบภัยหรือได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางการเมืองน้อย ซึ่งกลุ่มที่แนะนำให้นักลงทุนมี 3 กลุ่มหลักๆ ได้แก่ 1.กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากกลุ่มเทคโนโลยีโลกที่ปรับตัวดีขึ้น จึงทำให้ยอดคำสั่งซื้อ (ออร์เดอร์) มีจำนวนเพิ่มขึ้นและส่งผลให้ผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะออกมาดี ซึ่งหุ้นในกลุ่มดังกล่าวแนะนำซื้อ KCE

ถัดมา 2.กลุ่มอาหาร ซึ่งเป็นอีกกลุ่มหุ้นที่อยู่กลุ่มอุตสาหกรรมส่งออกซึ่งคาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าและอิงกับภาวะตลาดโลกมากว่าในประเทศ โดยแนะนำหุ้น TU เนื่องจากคาดว่างบไตรมาส 3/2563 จะปรับตัวขึ้นทั้งจากช่วงเดียวกันปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า และสุดท้าย3.กลุ่มค้าปลีก เพราะคาดว่าจะเป็นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ ซึ่งแนะนำหุ้น COM7,RS และ SINGER

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่าการเมืองไทยเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ตลาดน่าจะให้ความสำคัญมากสุด เนื่องจากการเมืองถือเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเวลาเกิดความเสี่ยงดังกล่าวค่าเงินบาทมักอ่อนค่าเพราะฟันด์โฟลว์ต่างชาติไหลออก และกดดันตลาดหุ้นให้ปรับลงเสมอ โดยในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาก็เป็นไปตามนั้นคือ ค่าเงินบาทอ่อนค่า 0.65% และฟันด์โฟลว์ต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นไทยแล้ว 4,100 ล้านบาท พร้อมกดดันให้ดัชนี SET Index ลดลงกว่า 2.64% ขณะที่ปัจจุบันการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอกยังคงยืดเยื้อและมีการขยายตัวไปทั่วประเทศ ซึ่งทำให้นักลงทุนยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

ขณะที่มองว่าปัจจัยลบที่ยังรุมเร้าและกดดันตลาดหุ้นไทย ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนตอนนี้แนะนำถือเงินสด 35% ของพอร์ตการลงทุน ส่วนอีก 65% เน้นลงทุนในหุ้นปันผลสูง เช่น DCC, JMART, MCS รวมถึงหุ้น Global Play (อิงเศรษฐกิจโลก) อย่าง TU, PTTGC เป็นต้น

 

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่ามองว่าปัญหาการเมืองในปัจจุบันกระทบต่อราคาหุ้นบางส่วน ซึ่งกลยุทธ์การลงทุนแนะนำเน้นลงทุนหุ้นขนาดกลาง-เล็ก เนื่องจากแนวโน้มกำไรที่ดีกว่าและการที่ตัวหุ้นในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่นั้นไม่ได้อยู่ในเป้าหมายการลดพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบันในประเทศ

อย่างไรก็ตามการลงทุนตอนนี้ให้น้ำหนักหุ้นเพียง 10% ของพอร์ตการลงทุนทั้งโลก ซึ่งกลุ่มที่คาดว่าจะปลอดภัยจากแรงกดดันทางการเมืองคือ 3 อุตสาหกรรมในกลุ่มส่งออก ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนฯ,อาหาร และกลุ่มเกษตร เนื่องจากหุ้นเหล่านี้ไม่อิงกับปัจจัยภายในประเทศ

นายศุภชัย วัฒนวิเทศกุล ผู้อำนวยการอาวุโส บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า วานนี้หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์เป็นกลุ่มเดียวที่บวกสวนตลาด  เพราะ การชุมนุมในประเทศทำให้นักลงทุนหันไปลงทุนในหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบดังกล่าว ซึ่งเป็นหุ้นโกลบอลเพย์ ซึ่งหุ้นกลุ่มโกลบอลเพย์ที่น่าสนใจลงทุน คือ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เพราะ แนวโน้มการเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว และผลการดำเนินงานไตรมาส3ปี นี้ ยังปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับได้รับผลดีจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าจึงทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนในกลุ่มนี้

ทั้งนี้จากที่ราคาหุ้นกลุ่มดังกล่าวปรับตัวเพิ่มขึ้นมาพอสมควรแล้วบริษัทจึงแนะนำเลือกลงทุนในหุ้นที่ราคายังพอมีอัพไซด์อยู่ จึงแนะนำ  KCE