‘การเมือง-ศาสนา’ ปัจจัยหนุนเชื่อมั่นวัคซีน

‘การเมือง-ศาสนา’ ปัจจัยหนุนเชื่อมั่นวัคซีน

ความเคลือบแคลงสงสัยถึงความปลอดภัยของวัคซีน มาพร้อมกับการไร้เสถียรภาพทางการเมืองและความสุดโต่งเรื่องศาสนา

ในช่วงที่โลกกำลังรอคอยวัคซีนต้านโควิด-19 ผลการศึกษาความเชื่อมั่นวัคซีนโลก พบว่า การแบ่งขั้วทางการเมืองและข้อมูลบิดเบือนบนโลกออนไลน์ กำลังคุกคามโครงการวัคซีนทั่วโลก ความเชื่อมั่นของสาธารณชนผันผวนและแตกต่างกันมากในแต่ละประเทศ

การศึกษาเพื่อสำรวจแนวโน้มความเชื่อมั่นต่อวัคซีนใน 194 ประเทศ ระหว่างปี 2558-2562 เก็บข้อมูลจากผู้ใหญ่กว่า 284,000 คน เมื่อปี 2562 สอบถามถึงความสำคัญ ความปลอดภัย และประสิทธิผลของวัคซีน ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ “แลนเซ็ต” พบว่า ความเคลือบแคลงสงสัยถึงความปลอดภัยของวัคซีน มาพร้อมกับการไร้เสถียรภาพทางการเมืองและความสุดโต่งเรื่องศาสนา

ไฮดี ลาร์สัน อาจารย์วิทยาลัยสาธารณสุขและเวชาศาสตร์เขตร้อนแห่งกรุงลอนดอนของอังกฤษ หัวหน้าคณะวิจัย กล่าวว่า การตรวจสอบทัศนคติของสาธารณชนอยู่เสมอสำคัญมากในช่วงที่เกิดภัยคุกคามจากโรคอุบัติใหม่ เช่น โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่กำลังระบาดใหญ่อยู่ในขณะนี้

“การรับรู้เรื่องวัคซีนผันผวนกว่าในอดีตมาก ในภาพรวมทั่วโลกเชื่อมั่นในวัคซีนมากก็จริง แต่พูดได้ไม่เต็มปากเพราะความเชื่อมั่นขึ้นๆ ลงๆ ผันผวนสูง”

ลาร์สันกล่าวเสริมว่า เมื่อบริษัทยาและนักวิจัยทั่วโลกกำลังแข่งกันพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 ดังนั้นรัฐบาลควรระมัดระวังเป็นพิเศษในการประเมินความไว้วางใจของประชาชนต่อวัคซีน และตอบสนองความกังวลนี้อย่างรวดเร็ว

“หลายคนวิตกมากเรื่องความเร็วในการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 แต่ดูเหมือนสาธารณชนไม่อยากให้เร่งมือ พวกเขาอยากให้ทำอย่างละเอียดรอบคอบ มีประสิทธิผลและปลอดภัยมากกว่า” ลาร์สันย้ำ

ผลการศึกษาพบว่า ความเชื่อมั่นวัคซีนในยุโรปต่ำเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นของโลก เช่น แอฟริกา สัดส่วนประชากรที่เห็นด้วยอย่างยิ่งว่าวัคซีนปลอดภัย แตกต่างกันไปตั้งแต่ 19% ในลิทัวเนียไปจนถึง 66% ในฟินแลนด์

อิรัก ไลบีเรีย และเซเนกัล มีสัดส่วนผู้ให้ข้อมูลยอมรับมากที่สุดว่าวัคซีนสำคัญ แต่ในยุโรปบางประเทศประชาชนไว้ใจวัคซีนมากขึ้นตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี ไอร์แลนด์ และอังกฤษและตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา มี 6 ประเทศที่ประชาชนเชื่อมั่นในวัคซีนลดลงอย่างมาก ได้แก่ อินโดนีเซีย ปากีสถาน เซอร์เบีย อาเซอร์ไบจาน ลาร์สันอธิบายว่า เป็นเพราะแนวโน้มการเมืองไร้เสถียรภาพและความสุดโต่งทางศาสนาในประเทศเหล่านี้

“บางประเทศผู้คนรู้สึกแบ่งขั้วกันมากขึ้น คนที่ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งหรือเห็นด้วยอย่างยิ่งเพิ่มขึ้นมาก”

อินโดนีเซียเป็นประเทศที่ความไว้ใจของสาธารณชนลดลงมากที่สุดในโลกระหว่างปี 2558-2562 ส่วนหนึี่งเป็นผลจากผู้นำศาสนาตั้งคำถามกับวัคซีนป้องกันหัด คางทูม และหัดเยอรมัน หมอชาวบ้านก็สนับสนุนให้ใช้วิธีการธรรมชาติแทนวัคซีน

ในเมื่อโควิด-19 ยังเป็นภัยคุกคามประเทศต่างๆ โดยที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน บางประเทศก็จัดการกับโควิด-19 ด้วยวิธีของตนเอง ผู้บัญชาการกองกำลังสหรัฐในเกาหลีใต้เผยว่า ทางการเกาหลีเหนือออกคำสั่งยิงทิ้งคนที่มาจากจีนเพื่อป้องกันโควิด-19 เข้าประเทศ

เกาหลีเหนือที่ระบบสาธารณสุขล้าหลังไม่อาจรับมือโรคระบาดใหญ่ได้ ไม่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยืนยันแล้วแม้แต่คนเดียว ทั้งๆ ที่โรคนี้พบครั้งแรกในจีนพันธมิตรสำคัญของเกาหลีเหนือแล้วระบาดไปทั่วโลก

รัฐบาลเปียงยางใช้วิธีปิดพรมแดนจีนในเดือน ม.ค.เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และในเดือน ก.ค.สื่อทางการรายงานว่ารัฐบาลยกระดับภาวะฉุกเฉินแห่งชาติเข้าสู่ระดับสูงสุด

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงาน โรเบิร์ต เอบรามส์ ผู้บัญชาการกองกำลังเกาหลีของสหรัฐกล่าวในการประชุมออนไลน์ จัดโดยศูนย์ยุทธศาสตร์และการระหว่างประเทศศึกษา (ซีเอสไอเอส) ในกรุงวอชิงตัน เมื่อวันพฤหัสบดี (10 ก.ย.)ว่า การปิดพรมแดนยิ่งทำให้ความต้องการสินค้าเถื่อนเพิ่มสูงขึ้นจนทางการต้องเข้ามาแทรกแซง ด้วยการใช้ “เขตกันชน” ใหม่ ห่างจากพรมแดนจีน 1-2 กิโลเมตร“โดยมีหน่วยปฏิบัติการพิเศษ และหน่วยโจมตีอยู่ที่นั่น ได้รับคำสั่งให้ยิงทิ้งได้เลย”

เอบรามส์กล่าวและว่า การปิดพรมแดนยิ่งเร่งให้ผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อโครงการนิวเคลียร์เกาหลีเหนือได้ผลยิ่งขึ้น การนำเข้าสินค้าจากจีนดิ่งลง 85%

ไม่เพียงเท่านั้นโสมแดงยังเสียหายจากพายุไต้ฝุ่นไม้สัก ที่สื่อทางการรายงานว่าครัวเรือนกว่า 2,000 หลังเสียหายบ้างก็ถูกน้ำท่วม ส่งผลให้เอบรามส์ไม่คาดว่า เปียงยางจะทำการยั่วยุใหญ่ๆ ได้ในเร็วๆนี้ แต่อาจจะโชว์อาวุธใหม่บ้างในวันฉลอง 75 ปีการก่อตั้งพรรคแรงงงานเกาหลีเหนือในเดือนหน้า

“ตอนนี้รัฐบาลกำลังมุ่งมั่นกับการฟื้นฟูประเทศ และลดความเสี่ยงโควิด-19 เป็นหลัก ตอนนี้เราจึงยังไม่เห็นข้อบ่งชี้การใช้ความรุนแรงแต่อย่างใด”

ส่วนที่เกาหลีใต้ ความกังวลเรื่องการระบาดระลอก 2 คลี่คลายลงบ้างแล้วเมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคเกาหลี (เคซีดีซี) รายงานนับถึงเที่ยงคืนวันพฤหัสบดี (10 ก.ย.) ที่ผ่านมา พบผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 176 คน ส่งผลยอดสะสมทั้งประเทศ 21,919 คน เสียชีวิต 350 คน

ขณะที่คลัสเตอร์เล็กๆ ยังผุดขึ้นต่อเนื่องจากการทำพิธีทางศาสนา สำนักงาน และโรงพยาบาลในเขตมหานครโซล กว่า 72% ของการติดเชื้อในประเทศที่รายงานเมื่อวันพฤหัสบดีเป็นการติดเชื้อในกลุ่มศาสนา

นายกรัฐมนตรีชอง เซคยุน กล่าวว่าการระบาดอย่างต่อเนื่องทำให้รัฐบาลกังวลว่า จะขยายหรือผ่อนมาตรการเว้นระยะ รวมถึงคำสั่งห้ามรับประทานอาหารในร้านยามค่ำคืนในย่านมหานครโซลที่จะครบกำหนดในวันอาทิตย์นี้