'วันนอร์' ยก 'ป๋าเปรม-บิ๊กจิ๋ว' ตัวอย่าง จี้ 'บิ๊กตู่' ลาออก

'วันนอร์' ยก 'ป๋าเปรม-บิ๊กจิ๋ว' ตัวอย่าง จี้ 'บิ๊กตู่' ลาออก

"วันมูหะมัดนอร์" จี้ "ประยุทธ์" ลาออก ยก "ป๋าเปรม-ชวลิต" เป็นตัวอย่างการลงจากอำนาจอย่างสง่างาม บอกบ้านเมืองจะดีด้วยการเสียสละของผู้นำ

เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 63 นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ ได้กล่าวท่อนหนึ่งในการอภิปราย ว่า ตนได้อยู่ในสภาแห่งนี้มานานได้เห็นการเป็นนายกรัฐมนตรี การปฏิวัติรัฐประหาร และการลงจากอำนาจของผู้นำหลายคนที่ผ่านมา จึงอยากจะขอยกตัวอย่างเพื่อให้นายกรัฐมนตรีได้เห็นว่าจะลงจากอำนาจแบบใดดีที่ไม่ต้องไปเจ็บเนื้อเจ็บตัว และลงอย่างสง่างาม โดยได้ยกตัวอย่างของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตรัฐบุรุษและประธานองคมนตรี ที่เป็นนายกรัฐมนตรีในช่วงปี 2523 ซึ่งขณะนั้นเมื่อบริหารประเทศผ่านไประยะหนึ่งก็มีประชาชนออกมาเรียกร้องต้องการให้มีประชาธิปไตยเต็มใบ และ พล.อ.เปรม ก็ได้รับฟังเสียงเรียกร้องเหล่านั้น ด้วยการที่ปฏิเสธผู้นำพรรคการเมืองที่มาขอให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปว่า”ผมพอแล้ว” และก็ได้ลงจากอำนาจ จนได้ดำรงตำแหน่งที่ทรงเกียรติ คือ ประธานองคมนตรี

"แต่อย่างไรก็ตามเมื่อท่าน พล.อ.เปรม บริหารประเทศไประยะหนึ่ง ก็มีคนบอกว่าต้องการให้ประเทศปกครองด้วยประชาธิปไตยเต็มใบ ก็เหมือนกับ พล.อ.ประยุทธ์ ตอนนี้ที่ไม่เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ เพราะรัฐธรรมนูญยังให้อำนาจ ส.ว. เหมือนท่านเกรียงศักดิ์ พล.อ.เปรม มาให้ ส.ว.มาเลือกนายกรัฐมนตรีได้ มาออกกฎหมายที่สำคัญได้ ก็เหมือนในปัจจุบันที่กฎหมายปฏิรูปจะต้องผ่านรัฐสภาไม่ได้ผ่านเพียงแค่สภาเดียว แต่เมื่อประชาชนจำนวนไม่มากเท่าไหร่เรียกร้องว่าประชาธิปไตยครึ่งใบควรจะหมดไป ควรจะมีประชาธิปไตยเต็มใบ พล.อ.เปรม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้ยินเสียงกระซิบนี้ ต่อมาเมื่อมีการเลือกตั้งไปแล้วผู้นำพรรคการเมืองทั้งหลายที่สนับสนุนท่าน ก็ไปหาท่านให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป แต่ท่านเห็นแก่เสียงของประชาชนที่ขอให้เลิกประชาธิปไตยครึ่งใบ จึงบอกว่า "ผมพอแล้ว" และหลังจากนั้นท่านก็ลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและลงอย่างสง่างามสามารถจะดำรงตำแหน่งอันทรงเกียรติของประเทศนี้ถึงเป็นประธานองคมนตรี" นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าว

ทั้งนี้ นายวันมูหะมัดนอร์ ยังได้ยกตัวอย่างของนายกรัฐมนตรีที่มาจากผู้นำเหล่าทัพ แต่ไม่ได้ปฏิวัติรัฐประหาร เพราะเป็นนายกรัฐมนตรีโดยอำนาจของสภา คือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2539 ก็เกิดภาวะต้มยำกุ้งเหมือนกับ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เป็นนายกรัฐมนตรีในขนาดนี้ที่มีเรื่องของปัญหาโควิด-19 มีเรื่องของเศรษฐกิจถดและจีดีพีก็ลดใกล้เคียงกัน จึงต้องกู้เงินจากต่างชาติ และเช่นเดียวกันมีประชาชนเรียกร้องว่าหมดเวลาของ พล.อ.ชวลิต แล้ว ต้องให้คนอื่นเข้ามาแก้ไขปัญหาของประเทศทั้งในด้านของเศรษฐกิจและการเมือง มีการจัดเดินม็อบที่สีลมจำนวนไม่มากน่าจะไม่ถึง 10,000 คน จากนั้น พล.อ.ชวลิต อยู่ที่ทำเนียบรัฐบาลก็ได้มีการประกาศว่าในเมื่อประชาชนต้องการให้คนอื่นเข้ามาแก้ไขปัญหาของประเทศ ตนขอลาออก

นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวต่อว่า อีกด้านหนึ่งตนต้องการพูดกับนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าถ้าไม่ฟังเสียงประชาชน ยังดื้อดึงคิดว่าท่านเก่ง อยู่มา 6 ปีแล้ว หรือขอเป็นต่อไป ตัวอย่างก็มีอยู่ ผู้นำเหล่าทัพที่เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วก็ดื้อดึง เกิดปัญหาทางด้านเศรษฐกิจและด้านการเมืองอย่างน้อยพอจะยกตัวอย่าง สองท่านเป็นถึงผู้จอมพล ฉะนั้นตนได้เอาตัวอย่ของผู้นำเหล่าทัพที่มีพรรคการเมืองสนับสนุนสองท่านที่ลงด้วยดีไม่มีปัญหา และอีกสองคนที่ลงอย่างไม่สวย ดังนั้นจึงอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เลือกเส้นทางที่จะลงโดยวิธีการที่สวย ไม่ต้องถูกขับไล่ ไม่ต้องถูกยึดทรัพย์

“บางทีเรื่องการลาออกลงจากอำนาจมันก็ยุ่งยากตอนเดียวเท่านั้นเอง คือตอนที่คนแวดล้อมว่าท่านเก่ง ท่านต้องอยู่ ถ้าท่านไม่อยู่แล้วก็ประเทศชาติจะเสียหาย ตอนนั้นแหละที่จะทำให้เราฮึกเหิมว่าเราเก่งคนเดียว ไม่มีใครเก่ง แต่วันใดที่ท่านตัดสินใจแบบพลเอกเปรมว่าผมพอแล้ว ตอนนั้นท่านจะมีความสุขที่สุด ลูกหลานท่านก็จะมีความสุข ไอ้คนรอบข้างที่เขาเยินยอท่าน เขาก็ไปหาคนอื่นต่อ เพราะว่าท่านหมดอำนาจไปแล้ว อันนี้พูดจากใจจิง ด้วยความปรารถนาดีต่อท่านนายก ว่าหมดเวลาของท่านแล้วท่านควรจะลาออกอย่างท่านพลเอกเกรียงศักดิ์ หรือถอยจากการเมืองอย่างพลเอกเปรม หรือลาออกยัง พล.อ.ชวลิต ท่านอย่าเอาตัวอย่างนายกรัฐมนตรีที่ตกจากเรื่องของความไม่สวยและถูกบันทึกประวัติศาสตร์ไม่สวย ยังมีเวลาสำหรับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ผมอยากให้โอกาสท่านตัดสินใจ แต่ตอนนี้ถ้าไปถามคนทั่วประเทศ ไปถามคนที่เขาจะมาร่วมกันบอกให้ท่านออกไปในวันที่ 19 ก.ย.นี้ หรือต่อๆ ไป วันนี้เขาก็พูดเหมือนกันว่าหมดเวลาของนายกรัฐมนตรีแล้ว ดังนั้นหวังว่าบ้านเมืองเราจะดีด้วยการเสียสละของพ่อผู้นำของพวกเรา” นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวทิ้งท้าย