สัญญาณเศรษฐกิจถดถอย

สัญญาณเศรษฐกิจถดถอย

เมื่อสองสามวันก่อนผมได้เริ่มขับรถส่วนตัวไปร่วมสังสรรค์กับเพื่อนกลุ่มนักลงทุน VI ในช่วงเย็นอีกครั้งหลังจากหยุดกิจกรรมที่เคยทำทุกไตรมาสมานานนับสิบปีหลังจากที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19เมื่อ 5-6 เดือนก่อน

             ผมเองไม่ได้ขับรถช่วงเย็นที่เป็นช่วงเร่งด่วนแบบนี้มานานแต่ก็จำได้ว่าในอดีตนั้น  เส้นทางที่ผมใช้คือทางด่วนที่ลงถนนพระราม 4 แถวคลองเตยแล้ววิ่งตรงไปทางกล้วยน้ำไทยนั้น  เป็นช่วงที่รถติดหนักมาก  แต่การขับรถครั้งนี้ปรากฏว่ารถกลับไม่ติดเลยแม้ว่าจำนวนรถอาจจะยังมากอยู่  ในความรู้สึกของผมก็คือ  หลังจากโควิด-19ในประเทศไทยสงบลงและเราเปิดธุรกิจในประเทศเกือบทั้งหมดแล้ว  กิจกรรมของคนที่ต้องเดินทางประจำวันน้อยลงจนเห็นได้ชัดจากการจราจร  จริงอยู่  บางคนอาจจะบ่นว่ารถกลับมา “ติดเหมือนเดิมแล้ว” แต่นั่นคงเป็นบางจุดหรือถนนบางสายและก็อาจจะเป็นบางช่วงเวลา  ตัวอย่างเช่นในวันหยุดยาวที่คนเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัดในบางเส้นทาง  หรือในถนนบางสายเช่นแถวศรีนครินทร์ที่มีการสร้างรถไฟฟ้า เป็นต้น  แต่เส้นทางที่ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงเช่นเส้นทางในศูนย์กลางของกรุงเทพ  ผมคิดว่ารถน้อยลงชัดเจน  ตัวอย่างที่ผมเห็นทุกวันก็คือถนนรางน้ำหน้าบ้านผมที่เคยเป็นแหล่งพักของนักท่องเที่ยวชาวจีน  ที่ตอนนี้ “โล่งตลอด”  นี่ก็เป็นสัญญาณสำคัญที่บอกว่าเศรษฐกิจของไทยกำลังถดถอยลง “อย่างแรง”

          จำนวนคนเดินห้างก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บอกว่าเศรษฐกิจกำลังซบเซา    หลายคนอาจจะเถียงว่าห้างใหญ่หลาย ๆ  แห่งโดยเฉพาะที่อยู่ที่ “ขอบของกรุงเทพ” ที่ตนเองเดินประจำนั้น  คนก็กลับมา “เหมือนเดิม” แล้ว  หาที่จอดรถไม่ได้และ “คนแน่นยังกับแจกฟรี”  แต่นั่นก็อาจจะเป็น “ความรู้สึก” ที่เกิดขึ้นหลังจากที่ห้างเหงามานานและก็อาจจะเป็นเฉพาะในวันหยุด  วันธรรมดาที่เขาไม่ได้ไปนั้นคนอาจจะว่างมาก   ผมเองเดินและจ่ายตลาดห้างหรูแถวสยามที่เป็นแหล่งสำคัญของนักท่องเที่ยวต่างประเทศแทบทุกสัปดาห์  ผมยืนยันว่าห้างยังเหงามีคนเดินน้อยกว่าเดิมมาก  ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ผมจ่ายสินค้าประจำวันนั้น  ในอดีตจะมีคิวจ่ายเงินยาว  เดี๋ยวนี้บางวันแทบไม่มีคิวเลย  นี่ก็เป็นสัญญาณว่าคนไทยน่าจะใช้จ่ายน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญโดยเฉพาะในสินค้าที่ไม่จำเป็นและ/หรือสินค้าที่ใช้จ่ายโดยนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ

            ที่น่าประหลาดใจเล็กน้อยที่ผมเห็นก็คือ  สินค้าหรูหราและมีราคาสูงมากอย่างเช่น  ร้านที่ขายสินค้าเครื่องแต่งกาย “ซุปเปอร์แบรนด์” หลายร้านนั้นมีคน “เข้าคิว”  รอเข้าไปชมและซื้อสินค้าอย่างที่เคยเกิดขึ้นในช่วงก่อนโควิด-19 แล้ว  ราคาสินค้าของร้านเหล่านี้ไม่ได้มีการ “ลดราคากระหน่ำ” เพื่อเรียกลูกค้า  ว่าที่จริงบางร้าน  “ขึ้นราคา” สินค้าที่เคยขายด้วยซ้ำ  นี่ทำให้ผมสรุปว่า  คนที่มีฐานะมั่งคั่งสูงในสังคมไทยนั้น  ไม่ได้ถูกกระทบมากจนต้องลดการใช้จ่ายลงเลย  พวกเขาใช้จ่ายเหมือนเดิม  และตอนนี้เนื่องจากว่าไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้  เขาจึงใช้จ่ายในประเทศไทยแทน  และนี่ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกันในต่างประเทศ  ตัวอย่างเช่นในจีนที่ตอนนี้มีข่าวออกมาแล้วว่าสินค้าซุปเปอร์แบรนด์ขายดีขึ้นมากกว่าเดิมก่อนโควิด-19 ด้วยซ้ำ

            นอกจากเรื่องของสินค้าเครื่องแต่งกายหรูแล้ว  บ้านหรูในช่วงหลังโควิด-19ก็ดูเหมือนว่าจะขายดีขึ้นโดยเปรียบเทียบกับบ้านที่ขายคนส่วนใหญ่ทั่วไป  ว่าที่จริงแม้แต่ในช่วงที่ยังปิดเมืองกันอยู่ก็มีสัญญาณแล้วว่าคนมาดูและซื้อบ้านหรูมากขึ้น  นั่นแสดงว่าคน “ซุปเปอร์ริช” หรือคนรวยจัดนั้นไม่ได้ถูกระทบมากจากวิกฤติและยังซื้อสินค้าหรูและมีราคาแพงเหมือนเดิม  นี่ก็พอจะเห็นได้จากการที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ขายบ้านหรูทำผลงานในไตรมาส2ได้ดีกว่าบริษัทที่เน้นบ้านราคาต่ำหรือระดับกลางที่ถูกกระทบอย่างแรง

           

          บ้านมวลชนนั้นอาจจะขายได้น้อยลง  แต่ธุรกิจพวกวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างหลายแห่งอาจจะคุยว่ายอดขายไม่ตกในช่วงปิดโควิด-19  นี่อาจจะเป็นเรื่องจริง  แต่ก็ต้องระวังว่าสินค้าเหล่านี้มี Lag Time หรือเป็นสินค้าที่เมื่อเศรษฐกิจวิกฤติทันทีนั้น  ความต้องการของสินค้ายังมีอยู่เหมือนเดิมเนื่องจากบ้านที่เริ่มสร้างแล้วก็จะต้องสร้างต่อไปจนจบถ้าเจ้าของยังมีกำลังอยู่  ผมเองก็กำลังสร้างเหมือนกันและพบว่างานก่อสร้างนั้นไม่เคยหยุดเลยในช่วงโควิด-19  ดูเหมือนว่ามันจะเร็วขึ้นด้วยซ้ำเพราะคนงานไม่ขาดเหมือนในช่วงปกติ  สิ่งที่ต้องระวังก็คือ  หลังจากนี้เมื่องานเริ่มเสร็จ  และงานใหม่ก็ไม่เข้ามาเนื่องจากความต้องการบ้านหรืออาคารต่าง ๆ น้อยลง  ธุรกิจก่อสร้างก็อาจจะเห็นยอดขายหดตัวอย่างแรงได้

          การตกต่ำลงของเศรษฐกิจนั้น  ผมคิดว่าสาเหตุหลักก็มาจากการที่ธุรกิจท่องเที่ยว  การเดินทางและกิจกรรมที่คนต้องเข้ามาอยู่ใกล้ชิดกันต้องหยุดลงเกือบจะสิ้นเชิง  นั่นทำให้คนจำนวนมากนับล้าน ๆ คนต้องตกงานทันที  พวกเขาต้องลดการบริโภคลง  ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นมากที่สุดในช่วงไตรมาส 2 และเราต่างก็คิดว่าหลังจากนั้นเศรษฐกิจก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว  ไตรมาส 2 น่าจะต่ำสุดและช่วงต่อจากนี้ความเจ็บปวดก็น่าจะน้อยลง  อย่างไรก็ตาม  ผมก็ค่อนข้างประหลาดใจเมื่อได้ข่าวว่าลูกสาวเพื่อนที่ทำงานเป็นแอร์โฮสเตทของสายการบินระดับท็อป ๆ ของโลกแห่งหนึ่งถูกปลดแบบ  “ฟ้าผ่า” หลังจากที่หยุดไม่ได้ทำงานมาหลายเดือนแล้วและกำลังหวังว่าจะกลับไปทำงานเนื่องจากสายการบินเริ่มจะกลับมาบินใหม่ในบางเส้นทาง  เหตุการณ์นี้ทำให้ผมคิดว่า  ในช่วงไตรมาส 2 นั้น  บริษัทหรือธุรกิจบางแห่งก็ยังพยายามรักษาคนงานไว้  แต่พอถึงวันนี้เขาก็รับกับค่าใช้จ่ายไม่ไหวและต้องปลดคนออกไป  ช่วงเวลาเดียวกันรัฐบาลก็ช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายแก่คนจำนวนมากเดือนละ 5,000 บาทจนสิ้นเดือนสิงหาคม  ในอีกด้านหนึ่งแบงก์ชาติก็ยอมให้ลูกหนี้จำนวนมากพักการชำระเงินจนถึงเดือนกันยายน  ทั้งหมดนี้ถ้าไม่ได้รับการต่ออายุอะไรจะเกิดขึ้น?  ผมเองคิดว่าเศรษฐกิจคงไม่เลวร้ายลงกว่าไตรมาศ 2  แต่จะดีขึ้นอย่างรวดเร็วผมก็ยังสงสัย

            กลับมาเรื่องของการลงทุนบ้าง  ในที่ประชุมสังสรรค์เพื่อน VI นั้น  ทุกครั้งเราก็จะมีการ  “เลือกหุ้น” ที่จะทำผลงานได้ดีใน 3 เดือนข้างหน้า  โดยที่ทุกคนจะต้องเลือกหุ้นที่ตนเองชอบ  ส่วนใหญ่ก็คนละ 2-3 ตัว  พอพบกันอีกในไตรมาสหน้าก็จะมาดูว่าใครได้ผลตอบแทนเท่าไร  นี่ก็เป็นกิจกรรมเล่น ๆ ที่ไม่ได้ซีเรียสหรือแข่งขันอะไรกันแต่ทุกคนก็มักจะเลือกในสิ่งที่ตนเองลงทุนจริง ๆ  อยู่แล้ว  ผลการเลือกในครั้งนี้มีการเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดจากครั้งหลัง ๆ นั่นก็คือ  ในช่วงน่าจะ 2-3 ปีมาแล้ว  VI กลุ่มนี้มักจะเลือกหุ้นเวียตนามมากกว่าหุ้นไทย  หุ้นไทยที่ถูกเลือกนั้นน้อยลงมาก  ส่วนหนึ่งเพราะพวกเขาได้หันไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามมากขึ้น  บางคนโดยเฉพาะที่เป็นชาวต่างชาตินั้นไม่ได้ลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกแล้ว  แต่ในครั้งนี้ปรากฏว่าจำนวนหุ้นที่ถูกเลือกกลับกลายเป็นหุ้นไทยเป็นส่วนใหญ่  นี่ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าโควิด-19น่าจะทำให้หุ้นไทยบางกลุ่มหรือบางตัวมีความน่าสนใจมากขึ้นจน VI บางคนที่เคยทิ้งตลาดไปนั้นหันกลับมาลงทุนมากขึ้น

           

ความสนใจในหุ้นของคนไทยเองนั้น  ผมคิดว่าเกิดขึ้นกับคนทั่วไปด้วยเห็นได้จากจำนวนนักลงทุนหน้าใหม่ที่เพิ่มขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัดในช่วงโควิด-19  นี่ก็เป็นอะไรที่แปลกเหมือนกัน  เหตุผลนั้นผมคิดว่า  ประการแรก  เป็นเพราะคนที่มีฐานะดีและมีเงินสดอยู่มากนั้นไม่ได้ถูกกระทบจากโควิด-19  พวกเขาคิดว่าการลงทุนในตลาดหุ้นที่ตกลงมานั้นเป็นโอกาสงดงามที่จะทำกำไรอย่างง่าย ๆ  เมื่อเทียบกับการฝากเงินที่ให้ผลตอบแทนต่ำมาก  ประการต่อมาก็คือ  พวกเขาคิดว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่จะถูกกระทบนั้น  น่าจะเกิดขึ้นครั้งเดียว  หลังวิกฤติแล้วทุกอย่างก็จะกลับมาภายใน 1-2 ปีหรืออย่างมากก็อาจจะ 3 ปี  เรื่องที่บริษัทจะ “ล่มสลาย” หรือล้มละลายไปนั้นไม่น่าจะเกิดขึ้น  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  สภาพคล่องในระบบการเงินของไทยยังมีเหลือล้น  ตราสารหนี้ที่ออกมาก็ยังมีคนต้องการอีกมาก   เมื่อโควิด-19ผ่านไปและลูกค้ากลับมา  รายได้และกำไรของบริษัทก็จะกลับมา  “เหมือนเดิม”  และสุดท้ายก็คือ  ตลาดหุ้นต่างประเทศเช่นในสหรัฐอเมริกานั้น  ดัชนีหุ้นกลับมาที่เดิมและสูงกว่าแล้ว  และผลประกอบการของบริษัทโดยเฉพาะในกลุ่มไฮเทคนั้นก็เพิ่มขึ้นมาก  ดังนั้น  เขาเชื่อว่าในที่สุดบริษัทและหุ้นไทยก็จะต้องตามกันไป

            ข้อสรุปทั้งหมดของผมก็คือ  ภาวะเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนต่อจากนี้น่าจะยังลำบากอยู่มาก  โอกาสฟื้นตัวน่าจะเป็นไปอย่างช้า ๆ  แต่หุ้นที่ตกลงไปแรงมากกลับฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยเม็ดเงินของคนไทยและนักลงทุนไทยซึ่งยังมีเงินมากและไม่ถูกกระทบจากภาวะเศรษฐกิจมากนัก  อย่างไรก็ตาม  เมื่อความจริงเริ่มจะปรากฏออกมาเรื่อย ๆ  ก็อาจจะมีความเสี่ยงว่า  นักลงทุนจะเริ่มตระหนักและถอนเงินออก  และวันนั้นก็อาจจะเป็นวันที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงมาให้เหมาะสมกับพื้นฐานที่แท้จริงของตลาดหุ้นไทย