STEC - ถือ

STEC - ถือ

ปลดปล่อยพลังมืด

Event

อัพเดตข้อมูลบริษัท ปรับลดราคาประมาณการกำไร ราคาเป้าหมาย และคำแนะนำลง

lmpact

ผลประกอบการ 2Q63 ถูกกระทบจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำเป็นประวัติการณ์และ SG&A ที่เพิ่มขึ้น

จากข้อมูลที่ได้จากผู้บริหาร STEC ผลประกอบการ 2Q63 ถูกกดดันจากปัจจัยลบหลายรายการ อย่างเช่น i) ต้นทุนทางตรงเพิ่มขึ้น (ค่าล่วงเวลา) เนื่องจากการใช้มาตรการ social distancing ในไซต์งานก่อสร้าง ii) ต้นทุนค่าบำรุงรักษาอุปกรณ์ และ iii) ต้นทุนจากการตรวจพบ defect ของโครงการอุโมงค์ระบายน้ำหนองบอน ทั้งนี้ เรามองว่าอัตรากำไรขั้นต้นใน 2Q63 ที่ 3.4% เป็นระดับที่ต่ำสุดแล้ว และน่าจะขยับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยใน 2H63 ในขณะที่ค่าใช้จ่าย SG&A ใน 2Q63 สูงเกินคาดเนื่องจากมีต้นทุนในการกำกับดูแล และบริหารจัดการโครงการรถไฟฟ้า MRT สายสีส้มตะวันออก

ปรับลดประมาณการกำไรปี 2563-64 ลง 28.3% และ 30.7% จากอัตรากำไรขั้นต้นและ SG&A

เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2563-64 ลง 28.3% และ 30.7% โดย i) ปรับลดสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นปี 2563 และ 2564 ลงจากเดิมที่ 4.6% และ 5.0% เหลือ 3.8% และ 4.1% ตามลำดับ เพื่อสะท้อนถึง margin ที่ต่ำเกินคาดของโครงการภาครัฐ (93% ของประมาณการรายได้ปี 2563 และ 2564 ของเรา) ทั้งนี้ แม้ว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะมีแนวโน้มดีขึ้นในปี 2564 เนื่องจากเสร็จงานโครงการก่อสร้างรัฐสภาแล้ว แต่อัตรากำไรขั้นต้นในปี 2564 ก็น่าจะยังต่ำกว่าสมมติฐานเดิมของเราเนื่องจากปัญหาในการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า MRT สายสีชมพูและเหลือง และ ii) ปรับเพิ่มสัดส่วน SG&A/รายได้จากเดิมที่ 1.8% และ 1.7% เป็น 2.1% และ 2.0% ในปี 2563 และ 2564 ตามลำดับ เพื่อสะท้อนถึงต้นทุนจากงานก่อสร้างในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก และต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในส่วนที่เกี่ยวกับโครงการเมืองสนามบินอู่ตะเภา และการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก

การเปิดประมูลโครงการภาครัฐยังเป็นไปตามกำหนด

ในระยะสั้น เราคาดว่า STEC จะเข้าร่วมประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก (PPP) โดยร่วมอยู่ใน consortium ที่ BTS Group Holdings (BTS.BK/BTS TB)* เป็นแกนนำ ในขณะที่ยังมีอีกสองโครงการ ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีม่วงตะวันตก (6 สัญญา มูลค่า 7.7 หมื่นล้านบาท) และรถไฟทางคู่เฟสที่สอง (เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ มูลค่า 8.5 หมื่นล้านบาท) ซึ่งเราคาดว่าจะออก TOR ได้ใน 4Q63

Valuation & Action

เราปรับลดคำแนะนำหุ้น STEC จาก ซื้อ เป็น ถือ และขยับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2564 ที่ 12.70 บาท อิงจาก PER ที่ 23.9x (PER เฉลี่ยระยะยาว) จากเดิมที่ใช้ PER 26.5x (PER เฉลี่ยระยะยาว +1 S.D.) เพื่อสะท้อนถึงการปรับลดประมาณการกำไร และคุณภาพ backlog ที่ลดลง ทั้งนี้ แม้ว่า backlog ของ STEC ในปัจจุบันจะสูงถึง 8.4 หมื่นล้านบาท (รวม 2 หมื่นล้านบาทจากโครงการเมืองสนามบินอู่ตะเภาเฟสแรก) แต่เรายังคงเป็นห่วงประเด็นอัตรากำไรขั้นต้นจากการแข่งขันที่เข้มข้นในการประมูลโครงการในช่วงหลังมานี้ อย่างเช่น งาน O&M มอเตอร์เวย์ และเมืองสนามบินอู่ตะเภา

Risks

การก่อสร้างล่าช้ากว่ากำหนด ขาดแคลนแรงงาน และต้นทุนค่าวัสดุแพงขึ้น