Covid-19 กดดัน

Covid-19 กดดัน

ดัชนีจะสลับรีบาวด์ขึ้นได้จากแรงเก็งกำไรหุ้นรายตัว เช่น กลุ่มที่งบ 2Q20 จะเติบโตขึ้น รวมถึงกลุ่มส่งออกที่ได้อานิสงส์เงินบาทอ่อนค่าลง

ตลาดหุ้นวานนี้

SET Index เพิ่มขึ้น 3.35 จุด (+0.25%) ปิดที่ระดับ 1,366 จุด มูลค่าการซื้อขาย 7.26 หมื่นล้านบาท เนื่องจากตลาดยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ที่ชัดเจน นักลงทุนยังระมัดระวังการลงทุนจากยอดผู้ติดเชื้อ covid - 19 รายใหม่ที่กลับมาเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในสหรัฐที่เพิ่มขึ้นสูงถึง 6.1 หมื่นราย ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ กดดันให้หลายมลรัฐต้องชะลอแผนการเปิดเศรษฐกิจ ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,241  ล้านบาท  และซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตร 2,848 ล้านบาท และ Net Long TFEX 6,009  สัญญา 

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้     

เรามีมุมมองเป็นกลาง-ลบคาด SET อ่อนตัวทดสอบ 1,355 - 1,360 จุดก่อนจะสลับรีบาวด์ ตามความกังวลการแพร่ระบาดไวรัส Covid-19 ที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในสหรัฐที่ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงถึง 6.1 หมื่นราย/วัน ซึ่งอาจส่งผลให้บางรัฐของสหรัฐต้องประกาศล็อกดาวน์รอบใหม่และจะกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงรวมถึงการลาออกของ 4 ผู้บริหารพรรค พปชร. จะเป็นอีกปัจจัยที่กดดันทิศทางตลาดในช่วงนี้ อย่างไรก็ตามคาดว่าดัชนีจะสลับรีบาวด์ขึ้นได้จากแรงเก็งกำไรหุ้นรายตัว เช่น กลุ่มที่งบ 2Q20 จะเติบโตขึ้น รวมถึงกลุ่มส่งออกที่ได้อานิสงส์เงินบาทอ่อนค่าลง

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่มอาหาร (TU, CPF, GFPT, TFG) และ กลุ่มอิเล็คฯ (KCE, DELTA, HANA) ได้อานิสงส์เงินบาทอ่อนค่าลง
  • กลุ่มที่คาดว่างบ 2Q20 จะเติบโตขึ้น (TOP, PTTGC, SPRC, BGRIM, CKP, TASCO, STA, SPALI)
  • กลุ่ม Defensive ในช่วงตลาดผันผวน (INTUCH, TTW, DIF)

หุ้นแนะนำวันนี้

  • DELTA (ปิด 60.5 ซื้อ /เป้าสูงสุด IAA Consensus 62 บาท) ระยะสั้นได้ Sentiment บวกจากค่าเงินบาทที่กลับมาอ่อนค่า ระยะกลางถึงยาวมี Growth story จากความต้อง พาวเวอร์ซับพลายสำหรับเครื่องมือทางการแพทย์ และ รถยนต์ EV ที่เพิ่มขึ้นจากการมาของเทคโนโลยี 5G (DELTA เป็นผู้ผลิต Power supply รายใหญ่)
  • TU (ปิด 13.6 ซื้อ/เป้า 15.3) ได้ Sentiment บวกจากค่าเงินบาทที่เริ่มอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐและเงินยูโร ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการ 2Q20 มีแนวโน้มที่จะออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 900-1,000 ล้านบาท นอกจากนี้ราคายังมี downside จำกัด เพราะมี P/E ต่ำเพียง 13 เท่า คิดเป็น -2.5SD

บทวิเคราะห์วันนี้

ERW (ปิด 3.56 อัพเกรดเป็นถือ/เป้า 3.5), SCC (ปิด 382 ถือ/เป้า 350)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (-) ดาวโจนส์ร่วง 361 จุด กังวลรัฐบาลกลับมาใช้มาตรการ lockdown อีกรอบหลังจำนวนผู้ติดเชื้อ Covid-19 พุ่งทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง: ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 361 จุด เนื่องจากนักลงทุนกังวลที่ว่าทางการสหรัฐจะประกาศใช้มาตรการ lockdown อีกครั้งหลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในประเทศยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุด worldometer รายงานว่าสหรัฐมีจำนวนผู้ติดเชื้อ Covid-19 รายใหม่เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 6.1 หมื่นรายทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อรวมทั้งประเทศพุ่งเป็น 3.2 ล้านรายและเสียชีวิต 1.3 แสนราย โดยรัฐเท็กซัสเป็นรัฐที่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นมากที่สุดในสหรัฐ โดยวานนี้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 1.1 หมื่นรายทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการเช่นกัน เราคาดว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่ยังเพิ่มขึ้นจะยังเป็นปัจจัยลบกดดันตลาดไปจนกว่าจะมีความชัดเจนจากการพัฒนาวัคซีนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด
  • (-) น้ำมันดิบ WTI หลุด 40 เหรียญ กังวลดีมานด์ฟื้นตัวช้าหลังจำนวนผู้ติดเชื้อ Covid-19 ยังเพิ่มขึ้นไม่หยุด: ราคาน้ำมันดิบ WTI กลับมาเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลอีกครั้ง โดยวานนี้ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 1.28 ดอลลาร์ (-3.1%) ปิดที่ระดับ 39.62 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จาก 1)นักลงทุนกังวลความต้องการน้ำมันดิบของโลกจะฟื้นตัวช้ากว่าที่ตลาดคาดไว้หลังจากหลายประเทศกับมาใช้มาตรการ lockdown เพื่อควบคลุมการระบาดของไวรัส Covid-19 และ 2) นักลงทุนยังมีความไม่แน่ใจกับตัวเลขดีมานด์และซัพพลายน้ำมันดิบในสหรัฐหลังจาก EIA รายงานตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์เพิ่มขึ้น 5.7 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่ตลาดคาดว่าจะลดลง 3.7 ล้านบาร์เรล
  • (+/-) สัปดาห์หน้าติดตาม OPEC meeting, DTAC และกลุ่มธนาคารประกาศงบ 2Q20 คาดภาพรวมหดตัวทั้ง qoq และ yoy: โดยวันที่ 15 ก.ค.จะมีการประชุมของกลุ่ม OPEC แต่เป็นเพียงการประชุมของคณะกรรมการตรวจสอบถึงการปฏิบัติตามข้อตกลงของกลุ่มสมาชิก (JMMC) จึงเป็นไปได้ว่าการประชุมครั้งนี้อาจจะยังไม่มีข้อสรุปและจะมีการนัดประชุมใหม่อีกครั้งก่อนที่มาตรการลดกำลังการผลิต 9.7 ล้านบาร์เรลจะสิ้นสุดในเดือน ก.ค. ส่วนปัจจัยในประเทศจะเข้าสู่ฤดูกาลประกาศงบ 2q20 เริ่มจาก 15 ก.ค. DTAC ประกาศงบคาดกำไรหดตัว 38%yoy และ 30%qoq และท้ายสัปดาห์ 17 ก.ค. กลุ่มธนาคารเกือบทั้งหมดจะประกาศงบโดยรวมคาดกำไรสุทธิจะออกมาหดตัวทั้ง qoq และ yoy จากผลกระทบของดอกเบี้ยขาลง loan growth ชะลอตัวตามเศรษฐกิจ และมีความเสี่ยงตั้งสำรองหนี้สูญจากปัญหา NPLs ที่เพิ่มขึ้น