โสมแดงยิงจรวด เรียกความสนใจ

โสมแดงยิงจรวด เรียกความสนใจ

รัฐบาลโซล ชี้ “คิม จองอึน” บัญชาการยิงขีปนาวุธเพื่อเรียกร้องความสนใจจากสหรัฐและเกาหลีใต้

ตามที่สำนักข่าวเคซีเอ็นเอของทางการเกาหลีเหนือ รายงานวานนี้ (10 มี.ค.) ว่า นายคิม จองอึน เป็นผู้บัญชาการการยิงอาวุธพิสัยไกล ที่ก่อนหน้านั้นญี่ปุ่นแถลงว่า รัฐบาลเปียงยางน่าจะยิงขีปนาวุธ

กระทรวงรวมชาติเกาหลีใต้แถลงว่า การยิงขีปนาวุธทั้ง 3 ครั้งในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาที่นายคิมลงไปบัญชาการเอง เป็นกิจกรรมทางทหารครั้งแรกของเขาในปีนี้ “เพื่อเสริมสร้างสามัคคีภายในประเทศ เรียกร้องความสนใจจากสหรัฐและเกาหลีใต้ รวมทั้งกดดันให้ทั้งสองประเทศเปลี่ยนทัศนคติ”

บรรดานักวิเคราะห์กล่าวว่า หลังจากการประชุมสุดยอดระหว่างนายคิม กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐที่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนามล่มลงเมื่อกว่า 1 ปีก่อน เกาหลีเหนือก็เดินหน้าพัฒนาขีดความสามารถด้านอาวุธอย่างต่อเนื่อง

สำหรับครั้งล่าสุดนี้ หนังสือพิมพ์โรดอง ซินมุน ของทางการโสมแดง เผยแพร่ภาพจรวดออกจากฐานปล่อยยิงชนิด 4 ท่อยิง เข้าโจมตีเป้าหมายเกาะแห่งหนึ่ง พร้อมด้วยภาพจรวดที่มีขนาดเล็กกว่า โดยนายคิมสวมหมวกสไตล์รัสเซีย เสื้อแจ็กเก็ตทหารสีกากี เฝ้ามองจากสนามเพลาะ มีเจ้าหน้าที่สวมหน้ากากอนามัยสีดำรายหนึ่งอยู่เคียงข้าง

รัฐบาลเปียงยางสั่งปิดพรมแดนมานานแล้ว และออกระเบียบปฏิบัติอันเข้มงวดเพื่อป้องกันไวรัสโคโรน่าที่ระบาดไปทั่วโลก นายคิมเตือนเมื่อเดือนก่อนว่า ถ้าปล่อยให้ไวรัสเข้าประเทศจะเสียหายหนัก

เมื่อวันจันทร์ นายโทมัส โอเจีย ควินทานา ทูตพิเศษด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติประจำเกาหลีเหนือ เรียกร้องให้รัฐบาลเปียงยางเปิดให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์จากภายนอกเข้าประเทศ ท่ามกลางความกังวลว่า ประชากรที่มีภาวะทุพโภชนาการจะเจ็บป่วยด้วยไวรัสโคโรน่า

พร้อมกันนั้นเขายังเรียกร้องให้ทบทวนมาตรการคว่ำบาตรที่กระทำต่อโสมแดงเสียใหม่ ยืนยัน “การโดดเดี่ยวเกาหลีเหนือหนักข้อขึ้นไม่ใช่คำตอบ”

ถึงขณะนี้เกาหลีเหนือยังไม่ยืนยันผู้ป่วยโควิด-19 เลยสักคน ทั้งๆ ที่ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 110,000 คน เสียชีวิตอีกกว่า 3,800 คน ในเกาหลีใต้ที่ติดกันก็ระบาดหนัก

ยูเอ็นประเมินว่า ชาวโสมแดงกว่า 43% เกิดภาวะทุพโภชนาการ หลายคนไม่มีน้ำสะอาด เข้าไม่ถึงระบบสุขาภิบาล สอดคล้องกับข้อมูลที่นายควินทานาแจ้งกับคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติว่า นอกจากผู้คนอดอยากแล้ว เกาหลีเหนือยังมีศักยภาพทางการแพทย์จำกัด บริการสาธารณสุขสำคัญส่วนใหญ่มาจากเอ็นจีโอต่างชาติ