'พิธา' จวกนโยบายเศรษฐกิจแย่ คน 99% ไม่มั่นคง

'พิธา' จวกนโยบายเศรษฐกิจแย่ คน 99% ไม่มั่นคง

“พิธา” เปิดแผลเศรษฐกิจ ไม่ไว้วางใจ “ประยุทธ์” บกพร่องร้ายแรง อยู่ต่อไปวันเดียวก็ไม่ได้ เอื้อนายทุน 3 เจ้าสัว ประเคนธุรกิจอีคอมเมิร์ซใส่พานให้ต่างชาติ สิ่งแวดล้อมพังทั้งฝุ่น PM2.5 พุ่ง นำเข้าขยะจนไทยกลายเป็นถังขยะโลก คนรวย-คนจนเหมือนอยู่บนโลกคนละใบ

เมื่อวันที่ 24 ก.พ.63 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ กล่าวอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลตอนหนึ่ง ว่า  ตนเป็น ส.ส.จากพรรคที่ประชาชนเลือกเข้ามาด้วยคะแนน 6.3 ล้านเสียง แต่ถูกศาลรัฐธรรมนูญ 7 คนยุบไป ตนขออภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องจากบริหารราชการแผ่นดินโดยขาดความรู้ความสามารถ ผิดพลาด บกพร่องร้ายแรง ล้มเหลวไร้ประสิทธิภาพ จนเกิดผลกระทบต่อประชาชน จนเกิดภาวะรวยกระจุกจนกระจาย ประชาชนสิ้นหวังเอื้อประโยชน์กับพวกพ้องโดย ไม่คำนึงถึงความผาสุกของประเทศชาติและประชาชนโดยรวม การอภิปรายของตนถ้าจะให้อภิปรายแบบนักเศรษฐศาสตร์มหภาคหรือนักการเมืองก็ทำได้ แต่การเน้นพูดที่จีดีพีหลุดเป้าไปกี่เปอร์เซ็นต์ไม่สำคัญ ถ้าจีดีพีโตแล้วเหลื่อมล้ำก็ไม่สะท้อนความสุข 

นายพิธา กล่าวอีกว่า 5 ปีทีผ่านมา คนจนในไทยเพิ่มขึ้นถึง 2 ล้านคน เศรษฐกิจทุกวันนี้ไม่ต้องเป็นนักเศรษฐศาสตร์ก็บอกได้ว่าเลวร้ายแค่ไหน สะท้อนถึงนโยบายเศรษฐกิจของพล.อ.ประยุทธ์ว่า เป็นนโยบายเศรษฐกิจของนายทุน โดยนายทุน เพื่อนายทุน แม้จะยังไม่เข้าขั้นวิกฤตเพราะจีดีพียังไม่ติดลบ แต่สำหรับบางคนแย่ยิ่งกว่าวิกฤตเศรษฐกิจในยุคต่างๆ ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 หรือวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์เมื่อปี 2552-2553 ตัวเลขคนว่างงานเท่ากับตัวเลขในปี 2562

158254955652

ขณะที่ หนี้สินครัวเรือนสูงถึง 80% มากเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย แย่กว่าตอนวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ที่หนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 50% หากย้อนกลับไปวิกฤตต้มยำกุ้ง ตัวเลขจะยิ่งแย่กว่า เพราะวิกฤตต้มยำกุ้งส่งผลกระทบต่อคนรวย แต่จีดีพีภาคการเกษตรยังเติบโต คนตกงานยังมีที่ดินไร่นาให้กลับไปทำได้เรียกว่าเศรษฐกิจแข็งล่างอ่อนบน ไม่เหมือนเศรษฐกิจยุคพล.อ.ประยุทธ์ที่แข็งบนอ่อนล่าง จีดีพีภาคเกษตรย่ำแย่ คนรวยกับคนจนเหมือนอยู่บนโลกคนละใบ ตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่ำสุดในรอบ 68 เดือน

158254909468

นายพิธา กล่าวด้วยว่า แนวคิดที่เรียบง่ายที่สุด มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ซึ่งอยู่ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายและแผนปฏิบัติการของรัฐบาล กลายเป็นคำถามว่าใครกันแน่ที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน วันนี้คนหนุ่มสาวใกล้เรียนจบกว่า 5 แสนคนรู้สึกไม่มั่นคง เพราะอาจจะเป็นเด็กรุ่นแรกในรอบหลาย 10 ปีที่มาตรฐานในชีวิตย่ำแย่กว่ารุ่นพ่อแม่ อีกกลุ่มคือคนสูงอายุใกล้เกษียณจำนวน 3 ล้านคน ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ยากจนและเปราะบางที่สุด ขณะที่กลุ่มเกษตรกร 18 ล้านคน ก็มีรายได้ลดลง หนี้สินเพิ่มขึ้น แม้จะทำงานหนักที่สุดในประเทศ แต่ก็ยังไม่มีความมั่นคงในชีวิต ในส่วนของฝั่งข้าราชการ ก็มีปัญหาหนี้ครู 1.4 ล้านล้านบาท แม้แต่ทหารที่ทำหน้าที่รักษาความมั่นคง ก็เผชิญปัญหาธุรกิจในค่ายทหาร การหาผลประโยชน์เงินกู้ในค่ายทหาร จนเกิดโศกนาฎกรรมโคราชขึ้น ดังนั้นถ้าท่านไม่ได้เป็นอภิสิทธิ์ชน 1% ของประเทศนี้ก็ไม่มีใครมั่นคง การแก้ปัญหาเศรษฐกิจเหมือนเอายาพาราไปให้คนเป็นมะเร็ง รอวันตาย ไม่ว่าจะเป็นชิมช้อปใช้ บัตรประชารัฐ ล้วนเอื้อประโยชน์ให้เจ้าสัว นายทุน

158254962242

นายพิธา กล่าวต่อว่า จริงหรือไม่ที่หลังการเลือกตั้งรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์รีบเปิดประมูลร้านค้าดิวตี้ฟรีในสนามบินผูกขาดเจ้าเดียว เอื้อประโยชน์ให้เจ้าสัว เจ้าของธุรกิจเหล้าขาวโดยการปรับภาษีเหล้าขาวให้ต่ำกว่าเบียร์ นอกจากนี้การบริหารงานของรัฐบาลยังก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมฝุ่น PM 2.5 ซึ่งต้นตอมาจากการเผาอ้อย ซึ่งเป็นนโยบายเกษตรประชารัฐสนับสนุนให้ปลูกอ้อย 6 ล้านไร่ในภาคอีสาน นอกจากนี้การปลูกอ้อยยังใช้พาราควอตมากกว่านาข้าวถึง 5 เท่า จึงต้องตั้งคำถามว่ายุทธศาสตร์อ้อยใครได้ประโยชน์ คณะทำงานในยุทธศาสตร์อ้อยตั้งขึ้นโดยคำสั่ง คสช. มีตัวแทนบริษัทน้ำตาลรายใหญ่เข้าไปนั่งเป็นอนุกรรมการ ในส่วนของกรรมการประชารัฐด้านการเกษตร ประธานกรรมการก็เป็นนายทุนบริษัทน้ำตาล รวมถึงการการอนุญาตให้ทำเหมืองแร่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ 970 เหมือง เอื้อประโยชน์ให้นายทุนเข้ามาทำเหมืองได้ง่ายขึ้น โดยที่คณะกรรมการแร่แห่งชาติก็มีตัวแทนข้าราชการและนายทุนเข้าไปนั่งเป็นคณะกรรมการ

158254963628

นายพิธา กล่าวต่ออีกว่า  ขณะที่ปัญหาขยะพลาสติกก็เพิ่มการนำเข้าถึง 850 % ทำให้ไทยกลายเป็นถังขยะโลก ปัญหาขยะนี้เกิดจากคำสั่ง คสช.4/2559 หรือไม่ ที่อนุญาตให้มีการสร้างโรงงานขยะได้โดยยกเว้นผังเมือง ทั้งนี้ขอตั้งคำถามว่ามีการทุจริตใบอนุญาตนำเข้าขยะหรือไม่อย่างไร หากจะพูดถึงมิติความยั่งยืนทางเศรษฐกิจในธุรกิจออนไลน์เราก็ยกใส่พานให้ต่างชาติไปหมดแล้ว อีคอมเมิอร์ซจากจีน 90% เข้ามาทุ่มตลาดยอมขาดทุนปีละ 3,000-4,000 ล้าน เพื่อสร้างมณฑลทับหัวยี่ปั๊วซาปั๊วไทย

“ถ้ารัฐบาลไม่มีกลไกตอบโต้การทุ่มตลาดก็ตอกฝาโลงเศรษฐกิจไทยไปได้เลย ในอนาคตสินค้าไม่ต้องเหาะมาจากจีน แต่จะออกมาจากอีอีซีที่เขาเข้ามาสร้างเป็นศูนย์กระจายสินค้า ซึ่งอีอีซีไม่ใช่การสร้างนวัตกรรมใหม่ให้กับไทย แต่เป็นเพียงนิคมอุตสาหกรรมแบบเดิมๆ รัฐบาลจะกระตุ้นเศรษฐกิจ อัดฉีดอีกกี่แสนล้านก็หมุนใปให้ 3 นายทุนใหญ่ในประเทศ  หรือนายทุนจีนผ่านโลกออนไลน์อยู่ดี คน 99% ของประเทศอยู่ในภาวะไม่มั่นคง ดังนั้นเราต้องการเผ่าตัดโครงสร้างเพื่อให้เศรษฐกิจอยู่รอดไปได้ โดยมีดที่ใช้ผ่าต้องคมพอที่จะตัดอดีตที่ขมขื่น ทลายทุนผูกขาด ประเทศชาติเสียหายมากแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ต่ออีกหนึ่งวันก็สร้างความเสียหายให้ประเทศเพิ่มอีกหนึ่งวัน ผมจึงไม่สามารถไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ได้อีกแม้แต่วันเดียว” นายพิธากล่าว