'ไวรัสโควิด-19' มือพิฆาตรายได้ฟิลิปปินส์

'ไวรัสโควิด-19' มือพิฆาตรายได้ฟิลิปปินส์

'ไวรัสโควิด-19' มือพิฆาตรายได้ฟิลิปปินส์ ขณะที่มีรายงานว่ารายได้จากการท่องเที่ยวของแดนตากาล็อกหดหายทั้งยังส่อเค้าว่าจะทำให้จีดีพีฟิลิปปินส์ลดลง 0.7%

การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้แผนที่จะสร้างรายได้จากกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนหรือแม้แต่กลุ่มทุนจีนของประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต เสียกระบวนท่าไป ทั้งยังส่อเค้าว่าจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวแดนตากาล็อก รวมทั้งอาจจะฉุดอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของฟิลิปปินส์ (จีดีพี) ประมาณ 0.7%

ตามปกติแล้ว ในเดือนก.พ.ของทุกปี บรรดาบริษัทด้านการท่องเที่ยวในฟิลิปปินส์จะวุ่นวายกับการจัดรายการท่องเที่ยวให้กับบรรดานักท่องเที่ยวจาจีน และติดต่อห้องพักในท้องถิ่นให้แก่นักท่องเที่ยวเหล่านี้ ที่ต้องการมาพักผ่อนในช่วงซัมเมอร์ แต่ปีนี้แตกต่างไปจากทุกปี เพราะปีนี้ เหล่าเอเยนซีท่องเที่ยวก็ยังคงวุ่นวายกับการติดต่อประสานการกับนักท่องเที่ยวเช่นเคยแค่ครั้งนี้เป็นการวุ่นวายกับการยกเลิกทัวร์ จ่ายเงินคืน เพราะผลพวงจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังงคงทำให้มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเพิ่มขึ้น

“ปีนี้เรายังไงยุ่งวุ่นวายมาก แต่เป็นการวุ่นวายที่เกิดจากการยกเลิกแผนการท่องเที่ยวและวุ่นวายกับการจ่ายเงินคืนให้ลูกค้า เพราะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวของฟิลิปปินส์ ”ริชชี่ ทูอาโน ประธานสมาคมการเดินทางฟิลิปปินส์ ซึ่งมีสมาชิกกว่า 600 คน กล่าว

ขณะที่คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน(เอ็นเอชซี) แถลงว่า นับจนถึงวันพุธที่ 12 ก.พ.จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) รายใหม่เฉพาะในมณฑลหูเป่ย์ที่เดียว เพิ่มขึ้น 14,840 ราย สู่ระดับ 48,206 ราย ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสุดสุดนับตั้งแต่มีการรายงานข้อมูลส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตในมณฑลหูเป่ยเพิ่มขึ้น 242 ราย แตะที่ระดับ 1,310 ราย

ก่อนหน้านี้ หน่วยงานตรวจสอบวินัยของมณฑลหูเป่ย์ เปิดเผยว่า ทางมณฑลได้สั่งปลดและลงโทษเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งที่ฝ่าฝืนวินัยการทำงานและไม่รับผิดชอบ ในขณะที่ทั้งมณฑลกำลังดำเนินมาตรการต่างๆ อย่างเต็มที่เพื่อต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ทางหน่วยงานไม่ได้ระบุจำนวนเจ้าหน้าที่ที่ถูกลงโทษ แต่ได้เปิดเผยชื่อเจ้าหน้าที่บางรายที่ประพฤติผิด ตั้งแต่การละทิ้งหน้าที่ไปจนถึงการท้าทายกฎการกักกันตัว

ขณะที่ล่าสุดวานนี้ (13ก.พ.)พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้สั่งปลดนายเจียง เชาเหลียง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำมณฑลหูเป่ย์ ออกจากตำแหน่ง พร้อมแต่งตั้งนายหยิง หยง นายกเทศมนตรีนครเซี่ยงไฮ้ เข้ารับตำแหน่งแทน โดยนายเจียง ถูกปลดออกท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับความล่าช้าในการรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 ซึ่งทำให้เกิดการแพร่ระบาดไปทั่วโลก

การปรับเปลี่ยนตำแหน่งดังกล่าวมีขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังการเสียชีวิตของนายแพทย์หลี่ เหวินเหลียง วัย 34 ปี ซึ่งเป็นหมอจีนคนแรกที่เตือนเกี่ยวกับการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเมืองอู่ฮั่น ก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกไปตักเตือนเกี่ยวกับการสร้างข่าวลือในโลกออนไลน์

สำหรับฟิลิปปินส์ การแพร่ระบาดของไวรัสชนิดนี้สั่นคลอนเสาหลักทางเศรษฐกิจที่ประธานาธิบดีดูเตอร์เตและประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างเสาหลักนี้ขึ้นมา โดยหลังจากชนะเลือกตั้งได้เป็นผู้นำของฟิลิปปินส์ในช่วงกลางปี2559 ประธานาธิบดีดูเตอร์เตพยายามไม่เปิดประเด็นขัดแย้งกับจีนเกี่ยวกับกรณีพิพาทในทะเลจีนใต้ ขณะเดียวกันก็ประกาศยุติความร่วมมือทางทหารที่มีกับสหรัฐมาช้านานเพื่อหันไปเป็นพันธมิตรอันแนบแน่นมากขึ้นกับรัฐบาลปักกิ่ง

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ ประกาศว่า ไม่ขัดข้องหากรัฐบาลฟิลิปปินส์ยกเลิกข้อตกลง Visiting Forces Agreement (วีเอฟเอ) ซึ่งเป็นข้อตกลงว่าด้วยการใช้ฐานทัพฟิลิปปินส์ของกองทัพสหรัฐเนื่องจากเห็นว่าการที่ฟิลิปปินส์ยกเลิกข้อตกลงดังกล่าวจะทำให้สหรัฐประหยัดเงินได้มาก

ปธน.ทรัมป์ ยอมรับว่า ความคิดเห็นของตนอาจแตกต่างไปจากนักการเมืองคนอื่น โดยหนึ่งในนั้นคือมาร์ค เอสเปอร์ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของสหรัฐ ที่เคยแถลงต่อสื่อมวลชนไว้ว่า การถอนตัวของรัฐบาลฟิลิปปินส์เป็นการเดินผิดทาง พร้อมชูความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองประเทศ ซึ่งสะท้อนให้เห็นความสำคัญของฟิลิปปินส์

ถ้อยแถลงของทรัมป์มีขึ้นหลังจากประธานาธิบดีดูเตอร์เตบอกว่าจะยกเลิกข้อตกลงดังกล่าว แต่ปธน.ทรัมป์ ยืนยันว่าตนและผู้นำฟิลิปปินส์ยังคงมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน พร้อมชูผลงานที่ผ่านมาของสหรัฐในการช่วยฟิลิปปินส์ต่อสู้กับกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส)

การประกาศยกเลิกข้อตกลงวีเอฟเอถูกมองว่าเป็นความเคลื่อนไหวที่เอื้ออำนวยต่อจีนมากขึ้น ซึ่งกระทรวงกลาโหมสหรัฐไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น และตลอดเวลาที่ผ่านมา ก็พยายามสกัดอิทธิพลของจีนทั้งในฟิลิปปินส์และทะเลจีนใต้

ส่วนประธานาธิบดีสี ก็รับปากว่าจะสนัลสนุนเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ ซึ่งรวมถึง ยกเลิกคำสั่งห้ามให้ชาวจีนเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวฟิลิปปินส และนำเข้าผลไม้จากฟิลิปปินส์มากขึ้น

หลังจากเมื่อปี 2558 ฟิลิปปินส์ ดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้าประเทศได้ 490,800 คนและนักท่องเที่ยวชาวจีนกลุ่มนี้มีการใช้จ่ายเงินซื้อสินค้าและบริการในฟิลิปปินส์คิดเป็นมูลค่า 10.19 พันล้านเปโซ (200 ล้านดอลลาร์)อีกสามปีต่อมา จำนวนชาวจีนเดินทางเข้าฟิลิปปินส์เพิ่มมากขึ้นเป็น 1.26 ล้านคนและใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการในฟิลิปปินส์คิดเป็นมูลค่า 110.79 พันล้านเปโซ หรือเท่ากับ 1 ใน4 ของการใช้จ่ายโดยรวมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และล่าสุด ตั้งแต่เดือนม.ค.-พ.ย.ปีที่แล้ว มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามาเที่ยวฟิลิปปินส์จำนวน 1.63 ล้านคน