เจาะกลยุทธ์ 'กสิกรไทย' ปั้นดิจิทัลเลนดิ้ง 'แสนล้าน'

เจาะกลยุทธ์ 'กสิกรไทย' ปั้นดิจิทัลเลนดิ้ง 'แสนล้าน'

 "กสิกรไทย" เปิดแผนงานปี63 ปักธงปล่อยกู้ผ่านออนไลน์อีก  6 หมื่นล้านบาท  ดันพอร์ตสิ้นปีแตะ 1แสนล้านบาท  ชูกลยุทธ์เร่งเจาะลูกค้าใหม่กลุ่ม  ใช้ฐานข้อมูลเจาะกลุ่มอาชีพอิสระ  รายได้ต่ำกว่า 1 หมื่นบาท  หลังการปล่อยกู้ที่ผ่านมา คุณภาพสินเชื่อดี เอ็นพีแอลต่ำ

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย  จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี2563 นี้ ธนาคารตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อออนไลน์ หรือ  ดิจิทัลเลนดิ้งราว 6หมื่นล้านบาท   จากปัจจุบันปล่อยไปแล้วกว่า 4 หมื่นล้านบาท  ทำให้คาดว่าพอร์ตสินเชื่อออนไลน์สิ้นปี2563 จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ 1  แสนล้านบาท 

สำหรับกลยุทธ์ของธนาคารปี 2563 จะเน้นการปล่อยสินเชื่อโดยอาศัยเทคโนโลยีทั้งบิ๊กดาต้า เอไอ ในการวิเคราะห์กลุ่มลูกค้า เพื่อช่วยให้เข้าถึงกลุ่มที่ยังไม่ได้เป็นลูกค้าธนาคารมากขึ้น จากเดิมที่ธนาคารจะโฟกัสอยู่ในกลุ่มลูกค้าธนาคาร และกลุ่มที่มีรายได้ประจำเป็นหลัก 

ดังนั้นเชื่อว่า จากความพยายามในการเริ่มเก็บข้อมูลการทำธุรกรรมของลูกค้า การใช้ข้อมูลอื่นๆมาใช้ประกอบในการพิจารณาสินเชื่อ  คาดว่าจะทำให้ธนาคารเข้าสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ๆได้มากขึ้น โดยเฉพาะเซ็กเม้นท์ใหม่ คือกลุ่มอาชีพอิสระ หรือลูกค้าไซส์เล็กอย่าง วินมอร์เตอร์ไซด์ ผู้ขับขี่แกรบ (Grab ) คนขับแท็กซี่ พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์  เป็นต้น  ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสทำให้ธนาคารเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ และหนุนการเติบโตสินเชื่อดิจิทัลเลนดิ้งให้เพิ่มขึ้นได้  สำหรับคุณภาพของสินเชื่อของดิจิทัลเลนดิ้งยังอยู่ในระดับที่ดี หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)ต่ำ ธนาคารตั้งเป้าคุมเอ็นพีแอลไว้ไม่ให้เกิน 5-6 %

“กลยุทธ์ของแบงก์ คือต้องไปในกลุ่มที่แบงก์ไม่เคยไป  เจาะกลุ่มที่ไม่ใช่ลูกค้าแบงก์อยู่แล้ว ให้เรามีเซ็กเม้นท์ใหม่ๆเข้ามามากขึ้น อาจจะเป็นกลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่า 1 หมื่นบาทต่อเดือนก็ได้  ซึ่งข้อมูลจะทำให้เราแม่นยำในการรู้จักลูกค้า รู้ความเสี่ยง ทำให้เรามีศักยภาพในการปล่อยกู้ได้มากขึ้น ตอนนี้เราต้องทำงานให้เร็ว แม้เราจะตัวใหญ่ หรือคิดว่าเราเป็นช้าง แต่ต้องวิ่งให้เร็วเหมือนสตาร์ทอัพ  หรือเป็นปลาใหญ่ที่ต้องว่ายน้ำให้เร็ว  หาที่ที่ปลาเล็กไปไม่ถึง เพราะโลกนี้มีที่ให้เล่นสำหรับทุกคน”

สำหรับกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจในต่างประเทศ ธนาคารยังตั้งเป้าจะเป็น Regional Bank เติบโตผ่านสาขา ทั้งในเวียดนาม เมียนมา และอินโดนีเซีย ซึ่งแต่ละประเทศมีหลักเกณฑ์ไม่เหมือนกัน เนื่องจากตลาดเหล่านี้เป็นตลาดใหญ่มาก ที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง  ส่วนธุรกิจในประเทศจีน เริ่มมีผลการดำเนินงานดีขึ้น มีกำไรในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และเจอแรงกดดันจากสงครามการค้า ขณะเดียวกันในอนาคต ธนาคารจะขยายธุรกิจไปยังรายย่อยเพิ่มเติม แต่จะเป็นกลุ่มรายย่อยที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น โดยสินเชื่อที่ปล่อยในจีน ณ เดือนก.ย. 2562 อยู่ที่ 4 พันล้านหยวน

"การขยายธุรกิจในต่างประเทศนั้น ธนาคารยังคงเดินหน้าตามเป้าหมายการเป็น Regional Bank แต่ธนาคารยังจำเป็นต้องใช้ข้อมูลเรียนรู้ไปเรื่อยๆ เพราะแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน ไม่สามารถนำโมเดลไปใช้ร่วมกันได้ เพราะโมเดลขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์ของแต่ละประเทศ แต่เรายังไม่ได้มีกลยุทธ์การเติบโตจากภายนอก (Inorganic Growth) แต่จะมีความร่วมมือกับพันธมิตร เพราะการมีพันธมิตรจะช่วยได้ค่อนข้างมาก โดยไม่จำเป็นต้องเป็นสถาบันการเงิน เช่น K-Line ซึ่งเป็นพันธมิตรและถือหุ้นบางส่วน หรือจะเป็นฟินเทค สตาร์ตอัพ และธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ซึ่งจะใช้เม็ดเงินลงทุนน้อยกว่า "