ขาดปัจจัยใหม่

ขาดปัจจัยใหม่

คาด SET อ่อนตัวทดสอบแนวรับ 1,590 - 1,595 จุด เนื่องจากภาวะตลาดขาดปัจจัยกระตุ้นการลงทุน

ตลาดหุ้นวานนี้

SET Index อ่อนตัวลง -9.59 จุด (-0.60%) ปิดที่ระดับ 1,597 จุด ด้วย Volume 4.3 หมื่นล้านบาท จากความกังวลที่ปธน.ทรัมป์ลงนามร่างกฏหมายสนับสนุนการเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกงอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐ-จีนรวมถึงการเจรจาการค้าแฟสแรก ประกอบกับแรงขายลดความเสี่ยงหลังดัชนีหลุดแนวรับ 1,600 จุดลงมา โดยเป็นแรงขายในกลุ่ม Trans, Energy และ Fin ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติยังคงเป็นฝั่งขายสุทธิ 1,704 ล้านบาท และ Net Short TFEX จำนวน 17,213 สัญญา แต่ซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตร 1,428 ล้านบาท   

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้

เรามีมุมมองเป็นกลาง-ลบคาด SET อ่อนตัวทดสอบแนวรับ 1,590 - 1,595 จุด เนื่องจากภาวะตลาดขาดปัจจัยกระตุ้นการลงทุน อีกทั้งการที่ปธน.ทรัมป์ลงนามร่างกฏหมายสนับสนุนการเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกงนั้นสร้างความไม่พอใจให้กับจีน เนื่องจากเป็นการแทรกแซงกิจการภายในซึ่งจุดนี้อาจส่งผลต่อการเจรจาการค้าเฟส 1 ให้ตกลงไม่ทันก่อน Deadline 15 ธ.ค.ที่สหรัฐจะปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนรอบใหม่วงเงิน 3 แสนล้านดอลล่าร์ ส่งผลให้ Fund Flow ต่างชาติมีแนวโน้มไหลออกต่อเนื่อง อีกทั้งการที่ดัชนีทรุดตัวลงต่ำกว่า 1,600 จุดทำให้สัญญาณเทคนิคเป็นลบซึ่งเป็นแรงกดดันต่อทิศทางการลงทุนในช่วงนี้   

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่ม Domestic Play AOT, ADVANC, INTUCH, BTS, BEM
  • กลุ่มที่คาดว่างบ 4Q19 จะเติบโตขึ้น ได้แก่ GPSC, CPF, ERW, TASCO, EPG, SAWAD, MTC, JMT, BCH, CHG, BDMS
  • กลุ่ม Dividend Stock  KKP TISCO TTW

หุ้นแนะนำวันนี้

  • BCH (ปิด 17.3 ซื้อ เป้า IAA Consensus 20 บาท) กำไรสุทธิยังเติบโตดี ระยะสั้นยังมี story และ Upside จากประเด็นการขอปรับขึ้นค่ารักษาพยาบาลจากกลุ่มลูกค้าประกันสังคม โดยปกติจะมีการเจรจาเพื่อปรับค่ารักษาพยาบาลกันทุก 2 ปี (BCH ปรับขึ้นราคาครั้งสุดท้าย เมื่อเดือน ก.ค.ปี 2017)
  • MINT (ปิด 38 ซื้อ/เป้า 46)  Top pick กลุ่มท่องเที่ยว ได้ประโยชน์โดยตรงจากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นตาม High season ของธุรกิจ, ขาย Trivoly Hotel 3 แห่ง และวานนี้ขายสินทรัพย์เพิ่มอีก 3 แห่ง รวมถึง กกบ.ผ่อนผัน Perpetual bond ให้กับกลุ่มผู้ออกรายเดิมออกไปอีก 3 ปี ช่วยลดแรงกดดันจากการเพิ่มทุน

บทวิเคราะห์วันนี้

Thailand Strategy (Krungsri Corporate day), Energy sector (Top pick: IVL, SPRC และ VNT)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (-) จีนเตรียมแผนตอบโต้สหรัฐ หลัง โดนัล ทรัมป์ ลงนามผ่านร่างกฏหมายสนับสนุนการเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง: ตลาดกลับมากังวลกับปัญหา Trade war อีกครั้งหลังจากที่วานนี้ จีนได้เรียกตัวทูตสหรัฐเข้าพบ เพื่อประท้วงการที่ประธานาธิบดีสหรัฐได้ลงนามร่างกฎหมายสนับสนุนการเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง นอกจากนี้ยังมีกระแสข่าวว่าจีนกำลังพิจารณาขึ้นบัญชีดำบุคคลที่เป็นผู้ร่างกฎหมายสนับสนุนการเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง เพื่อห้ามไม่ให้บุคคลเหล่านี้เดินทางเข้าจีนแผ่นดินใหญ่ รวมถึงฮ่องกง และมาเก๊า หากเป็นจริงเราเชื่อว่าความขัดแย้งในครั้งนี้จะต่อการเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาทการค้าเฟสแรกระหว่างจีนกับสหรัฐ ดังนั้นเรายังจำเป็นต้องติดตามปัญหานี้อย่างใกล้ชิด
  • (-) LTF ใหม่ยังไม่ได้ข้อสรุปทำให้เม็ดเงินลงทุนจาก LTF ในปีนี้ยังน้อยกว่าเมื่อเทียบกับในอดีต: การหารือเพื่อหาข้อสรุปสำหรับโครงการลงทุนใน LTF ซึ่งจะมาแทนโครงการ LTF เดิมซึ่งจะหมดอายุโครงการในปลายปีนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป ล่าสุดประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ออกมาค้านแนวทางการกำหนดให้นำวงเงินลงทุนใหม่ (New LTF) ไปคิดรวมกับกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) โดยกำหนดวงเงินไม่เกิน 500,000 บาท/ปี เพราะกรณีนี้จะทำให้เม็ดเงินที่ไหลเข้าตลาดหุ้นลดลงมากเมื่อเทียบกับในอดีตซึ่งจะส่งผลลบต่อการปรับตัวลงของดัชนี ซึ่งความไม่ชัดเจนของกองทุน LTF ทำให้ปีนี้มีประชาชนและนักลงทุนเข้าลงทุนใน LTF น้อยมากและส่วนใหญ่เป็นฝั่งขายสุทธิประมาณ 14,500 ล้านบาท (Jan-Aug19) เราเชื่อว่าหากภาครัฐได้ข้อสรุปโดยเร็วน่าจะเร่งให้นักลงทุนเข้ามาลงทุน LTF เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในเดือนหน้า ซึ่งจะช่วยหนุนและประคองดัชนีให้เพิ่มขึ้นได้ โดยเราคาดเม็ดเงินลงทุนจาก LTF ที่จะไหลเข้าในช่วงเดือน ธ.ค.ปีนี้ประมาณ 34,000 ล้านบาท          
  • (+/-) สัปดาห์หน้า คาดกลุ่ม OPEC+Non OPEC ขยายเวลาลดกำลังการผลิตเพื่อพยุงราคาน้ำมัน: เราแบ่งแนวทางผลประชุมของกลุ่ม OPEC ไว้ 3 แนวทาง คือ 1) Worse case:OPEC + Non OPEC มีมติยกเลิกการลดการผลิต 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน แนวทางนี้มีความเป็นไปได้น้อยสุด, 2) Base case: OPEC + Non OPEC มีมติขยายเวลาการปรับลดปริมาณการผลิตที่ระดับ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวันออกไปจนถึงกลางปีหน้า จากมาตรการเดิมที่จะสิ้นสุดอายุโครงการในเดือน มี.ค.ปีหน้า และ 3) Best case: OPEC + Non OPEC ตัดสินใจลดปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันซึ่งลดการผลิตอยู่แล้วที่ระดับ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน จะลดเพิ่มเป็น 1.5 หรือ 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน เรามองว่าแนวทางที่ 2 เป็นไปได้มากสุด ซึ่งจะช่วยให้ราคาประคองตัวในกรอบ USD55-65/bbl หากผลออกมาเป็นแนวทางที่ 3 จะเป็นบวกกับราคาน้ำมันมากที่สุดโดยมีโอกาสที่ราคาน้ำมันดิบ WTI จะพุ่งขึ้นไปซื้อขายที่ระดับ USD70/bbl