จีนแซงหน้าสหรัฐขยายเครือข่ายการทูตทั่วโลก

จีนแซงหน้าสหรัฐขยายเครือข่ายการทูตทั่วโลก

จีนแซงหน้าสหรัฐขยายเครือข่ายการทูตทั่วโลก ขณะที่รัฐบาลสหรัฐในยุคประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามลดจำนวนสถานทูตในต่างแดนเพื่อลดต้นทุนการดำเนินงานของรัฐบาล

ทุกวันนี้ นอกจากจีนจะเป็นประเทศทรงอิทธิพลทางการค้าของโลกแล้ว ยังมีเครือข่ายการทูตมากกว่าทุกประเทศในโลก ที่สำคัญมากกว่าสหรัฐ ที่เป็นคู่แข่งกันในทุกด้านด้วย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะจีนพยายามตั้งสถานทูตในประเทศต่างๆที่ถอดใจไม่ดำเนินความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวัน ทำให้ทุกวันนี้ จีนมีเครือข่ายการทูตกว้างไกลและครอบคลุมแทบทั่วทุกภูมิภาค

เมื่อ 50 ปีก่อน จีนมีสถานทูตในต่างประเทศเพียงแค่แห่งเดียวคือที่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ แต่ปัจจุบันนี้ จีนมีสถานทูตมากที่สุดในโลก แซงหน้าสหรัฐ โดยรายงานดัชนีการทูตโลกล่าสุดของโลวี อินสติติว ซึ่งจัดอันดับ 61 ประเทศที่มีสถานทูตในประเทศต่างๆทั่วโลก ระบุว่า จีน มีสถานทูต สถานกงสุล และคณะเจ้าหน้าที่ทูตถาวรทั่วโลกจำนวน 276 แห่ง เทียบกับสหรัฐ ที่มี273 แห่ง

รายงานชิ้นนี้ สะท้อนภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า ขณะที่สหรัฐ ในรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามลดเงินสนับสนุนองค์กรระหว่างประเทศ รวมทั้งลดจำนวนสถานทูตเพื่อประหยัดรายจ่าย จีน กลับทำตรงกันข้าม ด้วยการเพิ่มหน่วยงานด้านการทูตในประเทศต่างๆอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเพิ่มอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการทหารด้วย

สมัย“เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน”รัฐมนตรีต่างประเทศคนแรกในรัฐบาลทรัมป์ ใช้นโยบายไม่เพิ่มจำนวนสถานทูตและปรับโครงสร้างกระทรวงต่างประเทศใหม่และในช่วงนี้เองที่สหรัฐสูญเสียเจ้าหน้าที่ทูตระดับหัวกระทิไป60% ขณะที่ทรัมป์เองก็ชอบการทูตแบบตัวต่อตัวมากกว่าใช้ช่องทางการทูตตามปกติ

เมื่อปีที่แล้ว สหรัฐเสียสถานทูตไปหนึ่งแห่งเมื่อประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซีย สั่งปิดสถานกงสุลสหรัฐในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก หลังจากทรัมป์ขับทูตรัสเซีย 60 คนออกจากแผ่นดินสหรัฐจากกรณีวางยาพิษอดีตสายลับมอสโก

ต่างกันกับจีน ที่เดินหน้าเปิดสถานทูตในประเทศต่างๆอย่างต่อเนื่อง หวังเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านการทูตกับประเทศที่ไม่ได้ดำเนินความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวัน โดยปีที่ผ่านมา จีนเปิดสถานทูตในบูร์กินา ฟาโซ เอล ซัลวาดอร์ สาธารณรัฐเซาตูเมและปรินซิปี หรืออย่างกรณี สาธารณรัฐโดมินิกัน ที่ยุติความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวันและหันมาดำเนินสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนเมื่อปีที่แล้วจีนก็ยกฐานะสำนักงานเพื่อการพัฒนาทางการค้าที่ดินแดนแห่งนี้เป็นสถานทูต

นอกจากนี้ จีนยังมีคณะทำงานด้านการทูตในประเทศต่างๆ ที่สหรัฐไม่มี รวมถึง แอนติกัว และบาร์บูดา กินี-บิสเซา เซเชลลส์ วานูอาตู ซีเรียและเกาหลีเหนือ

ในแง่ของบุคลากร สหรัฐมีเจ้าหน้าที่ทูตในต่างแดนเกือบ 14,000 คน มากกว่าจีนที่มี 10,000 คนอยู่มาก แต่การที่เจ้าหน้าที่อาวุโสของกระทรวงการต่างประเทศปลดเกษียณไปหลายคนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ความรู้ความเชี่ยวชาญหายไปด้วย เป็นเรื่องที่รัฐบาลวอชิงตันกังวลมากขึ้น

สมาคมการต่างประเทศอเมริกันเผยว่า ขณะนี้กระทรวงต่างประเทศสหรัฐภายใต้การนำของไมค์ ปอมเปโอ ยังไม่มีเอกอัครราชทูตใน 50 ประเทศ การติดตามข้อมูลทูตของวอชิงตันโพสต์พบว่า ตำแหน่งสำคัญของกระทรวงต่างประเทศ 27% ยังไม่ได้รับการแต่งตั้ง

มาร์ติน เอส. เอ็ดเวิร์ดส ผู้อำนวยการศูนย์เพื่อสหประชาชาติและธรรมาภิบาลโลกศึกษา มหาวิทยาลัยสเตตันฮอลล์ กล่าวว่า สหรัฐกำลังพ่ายแพ้ นี่คือตัวชี้วัดที่น่ากังวลยิ่งทำให้ขวัญและกำลังใจของกระทรวงการต่างประเทศตกต่ำลงอย่างมาก การที่สหรัฐอ่อนด้อยลงเรืื่องการทูต เปิดช่องให้จีนแข็งแกร่งมากขึ้นในต่างแดน และสร้างเครือข่ายการทูตที่แข็งแกร่งขึ้นในหลายๆ ประเทศ

นักวิชาการรายนี้กล่าวด้วยว่า การที่จีนรุกขยายเครือข่ายทางการทูต เสี่ยงทำให้นานาประเทศมีนโยบายใช้สัมพันธ์ทางการทูตระดับปกติกับจีน ตัวอย่างเช่น การที่จีนเล่นงานชาวมุสลิมอุยกูร์ในซินเจียง หรือตำรวจปราบปรามผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง ทั่วโลกก็ไม่มีปฏิกิริยารุนแรงกับจีน

กระนั้น จีนยังเป็นรองสหรัฐในแง่ของต่างชาติเข้าไปตั้งสถานทูต กรุงปักกิ่งมีสถานทูต 59 ประเทศและสถานกงสุลสเปน 1 แห่ง ขณะที่กรุงวอชิงตันมีสถานทูต 61 ประเทศ และสถานกงสุลแทบทุกประเทศ สำนักงานถาวรของประเทศสมาชิกองค์กรนานารัฐอเมริกัน 8 แห่ง รวมถึงสำนักงานวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไต้หวัน

เท่านั้นยังไม่พอ ประเทศส่วนใหญ่ยังมีสถานกงสุล และสำนักงานถาวรของสหประชาชาติในนครนิวยอร์ก รวมทั้งสิ้น 109 แห่ง ส่วนเซี่ยงไฮ้ เมืองใหญ่สุดของจีน มีสถานกงสุลเพียง 47 แห่ง

ในภาพรวม ประเทศทั้งหลายมีสถานทูตสถานกงสุล สำนักงานถาวรเฉลี่ย 120 แห่ง ฝรั่งเศสเป็นอันดับ 3 ของโลก 267 แห่ง ตามด้วยญี่ปุ่น 247 แห่ง และรัสเซีย 242 แห่ง

ในทวีปเอเชีย อันดับ 1คือจีน อันดับ 2ญี่ปุ่น อันดับ 3 อินเดีย 186 แห่ง อันดับ 4 เกาหลีใต้ 183 แห่ง อันดับ 5 อินโดนีเซีย 132 แห่ง ส่วนภูฏานประเทศที่เคยเก็บตัว อยู่ในอันดับสุดท้ายมีเพียง 9 แห่ง

รายงานยืนยันว่า เครือข่ายทางการทูตสอดคล้องกับความสามารถในการหาเงินมาดูแลสถานทูต สถานกงสุล และสำนักงานถาวรในต่างแดนของประเทศนั้นๆ ในบรรดาประเทศท็อปเท็น มีเพียงสเปนที่อยู่ในอันดับ 9 ของโลกเท่านั้น ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มจี 20 หรือกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่ร่ำรวย

รายงานฉบับนี้อาจเป็นตัวชี้วัดถึงอิทธิพลของประเทศต่างๆ ได้ แต่การมีสถานทูตมากมายทั่วโลก ไม่ได้หมายความว่าทูตที่นั่นจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจช่วยให้เห็นภาพแนวโน้มการเมืองโลกอย่างกว้างๆ

ส่วนอังกฤษที่ประกาศว่า จะเป็นอังกฤษของโลกแม้ออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) อันดับร่วงหลุดท็อปเท็นไปอยู่ที่ 11 ต่ำกว่าอิตาลี สเปน และบราซิลด้วยซ้ำไป

เทียบกับไอร์แลนด์และเนเธอร์แลนด์ที่เพิ่มเคือข่ายการทูต เพิ่มสำนักงานมากกว่า 6 แห่งตามยุทธศาสตร์เบร็กซิท เพื่อฉกฉวยความได้เปรียบด้านเศรษฐกิจและการทูตจากความเสื่อมถอยของอังกฤษ