'อีวี' มาแน่! กสิกรไทยคาดยอดขายปีนี้พุ่ง

'อีวี' มาแน่! กสิกรไทยคาดยอดขายปีนี้พุ่ง

มาแน่! ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดยอดขายรถอีวีในไทย ปีนี้พุ่งแตะ 3.2 หมื่นคัน โต 61% สวนทางยอดขายรถยนต์รวม ราคาถูกลงและค่าใช้จ่ายถูกกว่า

แม้เศรษฐกิจโดยรวมในประเทศของไทยจะยังคงมีหลากหลายปัจจัยที่ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคอยู่ในภาวะที่ค่อนข้างตึงตัว อย่างไรก็ตามตลาดรถยนต์ในประเทศปี 2562 ซึ่งได้รับปัจจัยบวกอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปี ทั้งการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ การทำกลยุทธ์ทางการตลาดของค่ายรถยนต์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการปล่อยสินเชื่อรถยนต์ที่มีความยืดหยุ่น เหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นยอดขายรถยนต์ตลอดช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ที่ผ่านมา ยังผลให้ยอดขายรถยนต์โดยรวมขยายตัวกว่าร้อยละ 7.1 จากช่วงเดียวกันในปีก่อน คิดเป็นจำนวนรถยนต์ 523,770 คัน

ส่วนในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 นั้น แม้จะมีปัจจัยบวกจากการที่ค่ายรถมีแผนเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ออกมาอีกหลายรุ่น ร่วมกับการทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดที่มีมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศที่ยังไม่ได้มีแรงกระตุ้นชัดเจน รวมถึงฐานยอดขายรถยนต์ที่สูงในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 และการเข้าไปดูแลการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่มากขึ้นของธนาคารแห่งประเทศไทยในช่วงครึ่งหลังของปี

1_65

ส่งผลให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่ายอดขายรถยนต์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 อาจจะมีโอกาสพลิกกลับมาหดตัวที่ร้อยละ 3 หรือคิดเป็นจำนวน 536,000 คัน ทำให้โดยรวมแล้วศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่าตลาดรถยนต์ในประเทศปี 2562 นี้ มีโอกาสที่จะปิดยอดขายได้ที่ตัวเลข 1,060,000 คัน คิดเป็นการขยายตัวเพียงร้อยละ 1.8 เมื่อเทียบกับปี 2561 ที่ทำได้ 1,041,739 คัน

อย่างไรก็ตาม แม้ทิศทางตลาดรถยนต์ในปี 2562 โดยรวมจะไม่เติบโตเท่าใดนัก แต่ในส่วนของรถยนต์บางประเภทกลับเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน เช่น ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งล่าสุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 มียอดจดทะเบียนแล้วถึง 13,611 คัน ขยายตัวสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันในปี 2561 ถึงร้อยละ 46

3_46

โดยรถยนต์ไฟฟ้าเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในไทยปีนี้ เนื่องจากมีการเปิดตัวออกสู่ตลาดหลายรุ่นมากขึ้นกว่าปีก่อน ด้วยระดับราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น จึงได้รับการตอบรับค่อนข้างดีพอสมควรจากผู้บริโภค ซึ่งประเด็นเรื่องความคุ้มค่าต่อการลงเงินเพื่อซื้อรถยนต์ไฟฟ้า เป็นปัจจัยสำคัญอย่างมากที่มีต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของผู้บริโภค

ในปี 2562 นี้ มีรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ทั้งที่เปิดตัวออกมาแล้วและที่กำลังจะเตรียมเปิดตัวเข้าสู่ตลาดอยู่หลายรุ่นด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฮบริด รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ ซึ่งประเด็นที่เป็นข้อกังวลของผู้บริโภคในอดีตต่อการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า เช่น ราคาจำหน่ายรถยนต์ที่ค่ายรถตั้งไว้สูงมาก ต้นทุนการถือครองรถยนต์ไฟฟ้าในส่วนของค่าแบตเตอรี่ที่สูงกว่ารถยนต์สันดาปภายในมาก และความไม่พร้อมของสถานีบริการชาร์จไฟฟ้า เป็นต้น

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ปัจจุบันประเด็นปัญหาต่างๆเหล่านี้ ได้คลี่คลายลงมาเป็นลำดับตามการเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของทั้งค่ายรถยนต์และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะปัจจัยที่ถูกยกนำมาพูดถึงกันอยู่เสมอ คือ จำนวนเงินที่ผู้บริโภคจะต้องเสียไปกับการมีรถยนต์ไฟฟ้า 1 คัน ซึ่งปัจจุบันก็มีทิศทางที่ปรับตัวลดลงกว่าในอดีต และมีแนวโน้มจะปรับลดลงไปอีกอย่างต่อเนื่อง โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยจะขอแบ่งกล่าวเป็น 2 ส่วนสำคัญที่เกี่ยวกับต้นทุนของผู้บริโภคสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ทำให้สถานการณ์ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยมีทิศทางที่ดีขึ้น ดังนี้

4_31

1.ราคาจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้ามีหลายระดับและเข้าถึงได้มากขึ้น โดยราคาจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าปัจจุบันมีความแตกต่างกันไปตามรูปแบบของตัวรถยนต์ ระดับเทคโนโลยี ยี่ห้อรถยนต์ที่ผลิต และประเทศที่เป็นแหล่งนำเข้ามา ซึ่งเหล่านี้จะมีผลต่อการตั้งราคาจำหน่ายในประเทศไทย ได้แก่
-รถยนต์ไฟฟ้าที่มีการผลิตในประเทศและเป็นกลุ่มที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอจะมีอัตราภาษีสรรพสามิตที่ต่ำกว่ารถยนต์จากค่ายที่ยังไม่ได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุน ซึ่งปัจจุบันจะเห็นได้ชัดในกลุ่มของรถยนต์ไฮบริดและปลั๊กอินไฮบริดที่สามารถตั้งราคาได้ใกล้เคียงกับรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในปกติในรุ่นเทียบเคียงกันแม้จะมีต้นทุนทางเทคโนโลยีที่สูงกว่า ทำให้ง่ายต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคมากขึ้นในการเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะส่งผลในระยะยาวทำให้รถยนต์ไฮบริดก้าวสู่การเป็นรถยนต์รุ่นมาตรฐานแทนรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

-รถยนต์ไฟฟ้านำเข้ามาจากประเทศ ซึ่งปัจจุบันส่วนใหญ่พบเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ โดยรถยนต์ไฟฟ้าที่ไทยมีข้อตกลงการค้าเสรีและภาษีนำเข้ารถยนต์ได้ลดลงเหลือร้อยละ 0 แล้วก็จะไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า เช่น รถยนต์ไฟฟ้าจากจีน ทำให้สามารถตั้งราคาได้ถูกกว่ารถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศที่ยังต้องเสียภาษีนำเข้า ซึ่งบางยี่ห้อสามารถตั้งราคาให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก ส่งผลให้ได้รับการตอบรับต่อรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่จากผู้บริโภคดีเกินกว่าที่คาด

2.ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นระหว่างถือครองรถยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มปรับลดลง โดยที่หากถือครองรถยนต์ไฟฟ้าประเภทต่างๆ จะได้ประโยชน์มากในช่วง 8 ถึง 10 ปีแรกที่ถือครอง เนื่องจากเป็นช่วงที่อยู่ในระยะประกันของค่ายรถ ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าแต่ละประเภทมีต้นทุนในการถือครองที่ต่ำกว่ารถยนต์สันดาปภายในมาก เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่ต่ำกว่า ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่โดยเฉพาะก็มีค่าบำรุงรักษาเฉลี่อต่อปีที่ต่ำกว่ารถยนต์ประเภทอื่นมาก

อย่างไรก็ตาม เมื่อเลยระยะประกันที่ 8 ถึง 10 ปีไปแล้ว รถยนต์ไฟฟ้าจะมีค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงเพิ่มเข้ามา ทำให้ต้นทุนการถือครองปรับเพิ่มขึ้นไปอีกระดับจากช่วงที่อยู่ในระยะประกัน แต่ประเด็นปัญหาค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่ดังกล่าวไม่ได้สร้างความกังวลให้กับผู้บริโภคมากเท่าในอดีต เนื่องจากราคาแบตเตอรี่มีทิศทางที่ปรับลดลงมาตลอด และมีการคาดการณ์กันว่าอาจจะปรับลดลงไปถึงกว่าร้อยละ 60 จากราคาปัจจุบันในอีก 10 ปีข้างหน้าด้วย ซึ่งมุมมองที่เปลี่ยนแปลงไปต่อต้นทุนการถือครองรถยนต์ไฟฟ้าที่มีการปรับลดลงเช่นนี้ส่งผลให้รถยนต์ไฟฟ้ามีทิศทางเติบโตในอนาคต

อนึ่ง นอกเหนือจากกลไกในเรื่องราคาและต้นทุนการถือครองที่ทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าได้รับการตอบรับที่ดีแล้ว การใช้กลยุทธ์ทางการตลาดของค่ายรถก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในปีนี้ขยายตัวได้ดี เช่น การเสนอรับประกันแบตเตอรี่ไฟฟ้า รับประกันระบบการทำงานของระบบไฮบริดของค่ายรถ ทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจมากขึ้น รวมไปถึงการให้สิทธิประโยชน์ต่างๆเพื่อกระตุ้นยอดจำหน่าย เช่น การลดราคาพิเศษช่วงเปิดตัว ฟรีชุดอุปกรณ์ชาร์จไฟในบ้านพร้อมติดตั้ง เหล่านี้เป็นต้น เมื่อผนวกเข้ากับหลักการตั้งราคาที่ส่งผลทางจิตวิทยาให้ผู้บริโภคเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าแข็งขันได้มากขึ้นในตลาดรถยนต์ในประเทศของไทย

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินจากสถานการณ์ปัจจุบันของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยว่า ในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 นี้ ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของไทยมีโอกาสที่จะทำตัวเลขได้อย่างน้อย 18,400 คัน หรือขยายตัวกว่าร้อยละ 75 จากปีก่อน ซึ่งการขยายตัวที่เพิ่มสูงขึ้นมากในช่วงครึ่งหลังเป็นผลมาจากยอดขายของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆที่ได้ทยอยเปิดตัวกันออกมาในช่วง 1 ถึง 2 เดือนก่อนหน้านี้ และที่จะเปิดตัวในช่วงที่เหลือของปี

โดยยอดขายเหล่านี้จะปรากฏเป็นตัวเลขปริมาณการซื้อจริงในช่วง 6 เดือนที่เหลือของปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้ารวมทั้งตลาดของไทยในปีนี้อาจขยับขึ้นไปอยู่ที่ 32,000 คัน โดยประมาณ หรือขยายตัวกว่าร้อยละ 61 จากปีก่อนที่ทำตัวเลขยอดขายได้ 19,880 คัน
อย่างไรก็ตามหากการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าที่ถูกจองแล้วของบางค่ายสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าที่จะเปิดตัวใหม่หลังจากนี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคเกินคาด ก็อาจทำให้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของไทยปี 2562 สูงเกินกว่าตัวเลขที่คาดการณ์ไว้เบื้องต้นนี้ได้

5_13

โดยสรุป แม้ตลาดรถยนต์ในประเทศปี 2562 จะมีโอกาสขยายตัวได้เล็กน้อยทั้งนี้เนื่องจากยังคงมีปัจจัยลบที่เข้ามาฉุดรั้งอยู่ เช่น การที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะเข้ามาเข้มงวดในเรื่องการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์มากขึ้น ทว่า ในส่วนของตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากลับมีทิศทางที่สดใสตรงข้ามกับตลาดรวม โดยนอกจากจะเป็นเพราะมีรถยนต์ที่เปิดตลาดออกมาหลายรุ่นในราคาที่ผู้บริโภคให้การตอบรับแล้ว ยังเนื่องมาจากการที่ผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ ทำให้ไม่โดนกดดันจากมาตรการดังกล่าวของธนาคารแห่งประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังมีความกังวลในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงหลังหมดอายุประกันในส่วนของอุปกรณ์อื่นๆ ซึ่งปัจจุบันยังมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่ารถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในมาก ดังนั้น การที่ค่ายรถจะแสดงให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่า ในระยะยาวเมื่อรถยนต์ไฟฟ้ากลายมาเป็นรถยนต์รุ่นมาตรฐานแทนที่รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน จะทำให้การผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้าเกิด Economies of scale ประกอบกับบางส่วนอาจมีการย้ายฐานมาผลิตในไทยมากขึ้น ทำให้ค่าใช้จ่ายดังกล่าวมีโอกาสที่จะปรับลดลงได้ ซึ่งจะช่วยลดความกังวลของผู้บริโภคและทำให้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นได้มากกว่าที่เป็นอยู่

นอกจากนี้ ในอนาคตข้างหน้าหากมีการช่วยเหลือผู้บริโภคในรูปแบบต่างๆ เช่น การลดราคาแบตเตอรี่ใหม่เมื่อเปลี่ยนคืน หรือได้ส่วนลดสำหรับซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่หากนำรถยนต์ไฟฟ้ามือสองกลับมาขายที่ค่ายเจ้าของรถ เป็นต้น ก็อาจช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค และทำให้เกิดการหมุนเวียนรถยนต์ที่เร็วขึ้น